ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จัตุรัสทราฟัลการ์กับการแก้ปัญหาแบบสนามหลวง








(2010-02-03 07:53:08 น.)
จัตุรัสทราฟัลการ์กับการแก้ปัญหาแบบสนามหลวง

กรุงเทพ มหานคร อาจไม่ใช่มหานครเพียงแห่งเดียวในโลก ที่ประสบปัญหานกพิราบ ที่จัตุรัสทราฟัลกาในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นอีกแห่งที่มีการจัดการกับปัญหาดังกล่าว





ภาพปัจจุบันของจัตุรัสทราฟัลการ์ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานของสงครามทราฟัลการ์ หรือสงครามวอเตอร์ลู ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1805 มีอนุสาวรีย์นายพลเนลสัน และล้อมรอบด้วยอาคารสำคัญ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ โบสถ์เซนต์มาร์ตินอินเดอะฟีลด์

นอกจากนี้จัตุรัสทราฟัลการ์ เป็นสถานที่ที่ใช้ในการประท้วงและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ หลายครั้ง จัตุรัสทราฟัลการ์สแควร์ จะมีฝูงนกพิราบมาคอยกินอาหารที่คนหว่านให้ จึงทำให้มีปริมาณนกพิราบเป็นจำนวนมาก มูลของนกพิราบสร้างความเสียหายให้แก่อาคาร และเป็นแหล่งเชื้อโรค

ในปี 2000 ได้มีคำสั่งห้ามขายอาหารแก่นกพิราบ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวแอบให้อาหารปี 2003นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนใน ขณะนั้นจึงได้ออกกฎหมายห้ามนักท่องเที่ยวและประชาชนให้อาหารแก่นกพิราบ หากฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับ 50 ปอนด์

ขณะเดียวกันองค์กร Trafalgar Square Pigeons หรือ STTSP เป็นองค์กรที่ต่อต้านความโหดร้ายให้นกป่าและนกพิราบ ได้ออกมาต่อต้าน เพราะถือเป็นการทารุณสัตว์ ซึ่งทำให้เกิดการโต้แย้งขึ้น นายกเทศมนตรีลอนดอนจึงอนุญาตให้มีการให้อาหารแก่นกพิราบ ในช่วงเช้าวันละครั้ง ทำให้ปริมาณนกพิราบลดลงจาก 4,000 ตัวเหลือเพียง 200 ตัว
http://www.thaipbs.or.th/s1000_obj/front_page/page/1037.html?content_id=238401

การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

by : รศ.ดร.ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช / เสมา มีสมบูรณ์ / ปรมินทร์ สิริโชดก
IP : (124.120.154.166) - เมื่อ : 4/02/2008 04:39 PM

การวิจัยเรื่อง "การบริหารสังคมกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ได้คัดเลือกชุมชนตัวอย่างที่ศึกษาโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกชุมชนที่มีผลงานจัดกิจกรรมหรือบริการสังคม ที่ทำให้เกิดชุมชนเข้มแข็งเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป และคัดเลือกจากประเภทชุมชนที่กรุงเทพมหานครแบ่งชุมชนเมืองออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ชุมชนแออัด ชุมชนชานเมือง ชุมชนเมือง เคหะชุมชน และชุมชนหมู่บ้านจัดสรร ประเภทละ 1 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 5 ชุมชน ดังนี้

1. ชุมชนซอยสวนเงิน เขตราชเทวี (ชุมชนแออัด)
2. ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน (ชุมชนชานเมือง)
3. ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ เขตปทุมวัน (โครงการบ้านมั่นคง)
4. ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อพัฒนา เขตทวีวัฒนา (หมู่บ้านจัดสรรของเอกชน)
5. ชุมชนเมืองทองธานี (อาคารชุด / คอนโดมิเนียม) จ.นนทบุรี


ผู้ศึกษา ใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ และใช้เทคนิคการสังเกต การสัมภาษณ์พูดคุย และการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของชุมชน การวิเคราะห์ สังเคราะห์สรุปบทเรียน กำหนดวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อศึกษา 1) วิธีคิดของชาวชุมชนในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน 2) วิธีปฏิบัติในการบริหารกิจกรรมหรือบริการสังคม และ 3) สังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการบริหารสังคมที่ทำให้ชุมชนเมืองมีความเข้มแข็ง และ ตั้งประเด็นคำถามในวิจัย 7 ประเด็น คือ เหตุปัจจัยที่ทำให้ชุมชนมารวมตัวกันคืออะไร, ชุมชนมีวิธีคิดในการจัดการกับปัญหาการอยู่ร่วมกันให้เกิดความรู้รักสามัคคี กันได้อย่างไร, การเลือกจัดกิจกรรมหรือบริการสังคมเพื่อสร้างสวัสดิการชุมชนและพัฒนาชุมชน ตั้งอยู่บนฐานคิดประการใดบ้าง, กิจกรรมหรือบริการสังคมที่ชุมชนจัดขึ้นเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนหรือ มีความแปลกใหม่และถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมได้มากน้อยเพียงใด, อะไรเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของกิจกรรมหรือบริการสังคมนั้นทั้งในแง่ผลผลิต และผลลัพธ์ และ ความเข้มแข็งของชุมชนจะมีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด อะไรคือปัจจัยชี้ขาด ใช้ระยะเวลาศึกษารวม 1 ปี 7 เดือน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2550 สรุปผลดังนี้

1. ชุมชนซอยสวนเงิน เป็น ชุมชนแออัด ตั้งอยู่บนพื้นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในพื้นที่เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นชุมชนขนาดเล็ก มีพื้นที่ 15 ไร่มีประชากร 905 คน เป็นชุมชนเก่าแก่นับเป็นเวลาประมาณ 100 ปี ผู้อยู่อาศัยหนีร้อนมาพึ่งเย็นเพราะบ้านถูกไฟไหม้ ถูกไล่ที่ หรืออพยพมาจากต่างจังหวัด มาอาศัยอยู่ที่นี่แบบบุกรุกเพราะความไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นที่ดินว่างเปล่า ต่อมาจึงรับรู้ว่าเป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งภายหลังได้เข้ามาจัดระเบียบที่อยู่อาศัยและเก็บค่าเช่าในราคาถูกโดย กำหนดเงื่อนไขให้พัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่ดี ถูกสุขลักษณะ และมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ ชาวชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพร้อยพวงมาลัยขายบนท้องถนน ต่อมามีกฎหมายควบคุมห้ามขาย ผู้ฝ่าฝีนจะถูกจับปรับ เสียค่าปรับ 500 บาท ชาวชุมชนก็ยอมเสียค่าปรับแล้วย้อนกลับมาขายใหม่ โดยถือว่า "เป็นอาชีพสุจริตที่ผิดกฎหมาย" บ่งบอกถึง ความดื้อแพ่งในการทำมาหากิน ส่วนปัญหาที่อยู่อาศัย ชาวชุมชนคลี่คลายปัญหาด้วยตนเอง โดยทำความเข้าใจได้ด้วยเหตุผลและความถูกต้อง จากความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานปปส. สสส. เป็นต้น มีการจัดตั้งกลุ่มประชาชนต่างๆ เช่น กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มอาสาสมัคร ปปส. สนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างหลากหลาย เช่น ห้องสมุดชุมชน สนามเด็กเล่นปลอดภัย การฝึกอาชีพใหม่ๆ เช่น ทำสมุนไพร นวดแผนโบราณ รับจ้างปักเลื่อมเสื้อยืด ฯลฯ โดยได้รับความร่วมมือชาวชุมชนและขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการชุมชนซอยสวนเงิน

2. ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เป็น ชุมชนชานเมือง ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็นองค์กรรวมของชุมชนต่างๆ ในเขตตลิ่งชัน 27 ชุมชน มีประชากร ประมาณ 104,000 คน ประชาคมเกิดขึ้นตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่ต้องการสร้างตลาดน้ำในกรุงเทพมหานคร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์/ อนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสให้เกษตรที่ยังทำอาชีพปลูกพืช ผัก ผลไม้ ได้มีตลาดน้ำเป็นแหล่งค้าขายในวันหยุดราชการ และให้ชาวกรุงเทพมหานคร ได้ไปเที่ยวตลาดน้ำที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อลดรายจ่าย ได้มอบนโยบายให้สำนักงานเขตตลิ่งชันไปดำเนินการ จึงได้จัดให้มีการรวมตัวของคณะกรรมการชุมชนเป็นประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชันและ เลือกตั้งคณะกรรมการประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน จากคณะกรรมการชุมชนทั้งหมด มีทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการตลาดน้ำตลิ่งชัน สำนักงานเขตตลิ่งชัน เป็นผู้กำกับดูแลเชิงนโยบายอยู่ห่างๆ พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อได้รับการร้องขอ กิจกรรมและบริการที่ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชันจัดขึ้น คือ การค้าขายอาหารคาว หวาน ขนมไทยๆ พืช ผัก ผลไม้จากสวน บนแพริมน้ำและให้ชาวบ้านพายเรือมาขายที่แพ มีการจัดเรือท่องเที่ยวตามสวนเกษตร และวัดต่างๆ มีการร้องเพลงและการเล่นของประชาชนบนเวทีประชาคมที่ตั้งอยู่ในบริเวณตลาดน้ำ มีบริการนวดแผนโบราณที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในละแวกมาขายบริการนวด โดยคณะกรรมการประชาคมฯจัดอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทั้งหมดโดยจัดสรร ผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม นำมาเข้ากองทุนตลาดน้ำตลิ่งชันไว้ใช้ในการบริหารงานและช่วยเหลือผู้ค้าที่ เดือดร้อนโดยอนุมัติของคณะกรรมการประชาคมฯ มีการจัดกิจกรรมตามวันสำคัญๆ เช่นวันปีใหม่ สงกรานต์ วันเด็ก วันวิสาขบูชา เป็นต้น ทำให้ชาวชุมชนตลิ่งชันมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศน์พร้อมๆ กัน ได้ซื้อหาสินค้าดีราคาถูกเพราะไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผู้ค้าขายเพิ่มรายได้ และผู้ซื้อลดรายจ่าย ได้ระดับหนึ่ง

3. ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปทุมวัน ในโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของรัฐบาล (สมัย พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี) โดย หลักการมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ร่วมคิดรูปแบบบ้าน ร่วมก่อสร้างบ้าน ร่วมคัดเลือกและกำหนดเกณฑ์ในการเลือกผู้มีสิทธิเข้าอยู่อาศัย ร่วมติดตามการผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อบ้านให้กับการเคหะแห่งชาติและสถาบัน พัฒนาองค์กรชุมชน ที่ปล่อยกู้ผ่านมาทางสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นนิติบุคคลของชุมชนและสามารถเป็นตัวแทนลงนามทำสัญญากู้เงินแล้วนำมา ปล่อยกู้ให้กับสมาชิกสหกรณ์ ในการสร้างบ้านมั่นคง หน่วยละ 200,000 บาท ผ่อนส่งเดือนละ 190 บาท กระบวนการจัดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ประสบความสำเร็จในการทำให้ชาวชุมชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเพราะเป็นที่ดินของสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ไม่มีนโยบายขายแต่ให้เช่า และมีนโยบายด้านการดูแล รักษา และจัดประโยชน์

4. ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อพัฒนา เป็น หมู่บ้านจัดสรรในโครงการของบริษัทเอกชน ตั้งอยู่ตรงข้ามพุทธมณฑล ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ระยะแรกในการเข้าอยู่อาศัย เป็นชุมชนชานเมืองที่ค่อนข้างไกลและลำบากในการเดินทางเพราะรถประจำทางมีน้อย ภายในหมู่บ้านประสบปัญหาเรื่องการวางท่อน้ำประปาไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง ไม่สามารถตอบสนองตามความต้องการที่จำเป็นของผู้อยู่อาศัย จนถึงขั้นเกิดการรวมตัวกันเรียกร้องให้เจ้าของโครงการกระทำการตามสัญญาซื้อ ขายเป็นผลสำเร็จด้วยดี ตลอดจนต่อสู้ทางกฎหมายให้เจ้าของโครงการจัดพื้นที่ส่วนกลางเป็นสโมสรและสนาม เด็กเล่นตามสัญญาซื้อขาย ผู้นำและแกนนำชุมชนตระหนักในการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านจึงเกิด ความคิดจัดตั้งเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน ดำเนินกิจกรรมและบริการต่างๆเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีความรักชุมชนและช่วยกัน พัฒนาชุมชน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้มีความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านพัฒนาดีเด่น มีการประกอบกิจกรรมมากมาย เช่น จัดตั้งวงดนตรีไทยของเด็กและเยาวชน ลานกีฬา ชมรมผู้สูงอายุ กลุ่มอาชีพ OTOP การออกกำลังกาย แอโรบิค ไทเก็ก เป็นต้น จนถึงระดับของการสร้างนวัตกรรมทางสังคมให้กับหมู่บ้าน โดยจัดงานสังสรรค์ประจำปีในช่วงวันเด็กและปีใหม่ และ เป็นการจัดหาทุนเข้ากองทุนพัฒนาหมู่บ้าน ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกในหมู่บ้านและจัดชุดการเล่นมาแสดง ทุกกลุ่มวัยตั้งแต่กลุ่มเด็กจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เสริมสร้างความรู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้น มีความรู้ รัก สามัคคีกัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักด้านความเข้มแข็งของชุมชนและเป็นพลังสร้างสรรค์พัฒนา ชุมชนยั่งยืน

5. ชุมชนอาคารชุด C1 / คอนโดมิเนียมเมืองทองธานี ตั้ง อยู่ที่ปริมณฑล อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นอาคารชุดขนาดใหญ่มาก มีจำนวนห้องชุด 160 หน่วย เป็นอาคารสูง 16 ชั้น แต่มีผู้อยู่อาศัยประมาณร้อยละ 40 บริษัท MSM เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในการบริหารจัดการอาคารชุด จึงพยายามลดต้นทุนในการบริหารงานโดยใช้เงื่อนเวลาล่าช้า เช่น การปรับปรุงเรื่องการดูแลความสะอาดของพื้นที่ส่วนกลาง ความมั่นคงปลอดภัยในการใช้ลิฟท์ภายในตัวอาคารที่มีความจำเป็นมาก สำหรับผู้อยู่อาศัย จึงทำให้ผู้อยู่อาศัยประสบความเดือดร้อนและเรียกร้องให้ผู้จัดการประจำตึก เร่งรับผิดชอบ ผู้จัดการประจำตึกก็ได้ทำหน้าที่ เร่งรัดและติดตามผล แต่บังเอิญขัดกับนโยบายบริษัท MSMที่เข้าข้างผู้อยู่อาศัยมากเกินไปจนเกือบถูกเลิกจ้าง คณะกรรมการควบคุมอาคารที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกผู้ อยู่อาศัยในอาคาร จึงเข้าไกล่เกลี่ยและเจรจากับบริษัทMSMได้สำเร็จ โดยบริษัทฯได้แก้ไขข้อบกพร่องในการดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกของอาคารชุดตาม ข้อเรียกร้องของผู้อยู่อาศัยและยังคงจ้างผู้จัดการประจำตึกคนเดิมต่อไป สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติผู้อยู่อาศัยและบริษัทฯ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ให้ความร่วมมือและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยด้วยความมีเหตุมีผล และยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องตามกฎหมายเป็นประการแรก และส่งเสริมการจัดกิจกรรมและบริการต่างๆ เพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกันทั้ง การจัดกิจกรรมสำคัญตามธรรมเนียมประเพณี และตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมและประชาธิปไตย

ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

จากการจัดกิจกรรมหรือบริการในชุมชนที่ศึกษา 5 แห่ง พบว่า มีเหตุปัจจัยร่วมในการกระบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง พอสรุปได้ดังนี้

1. สภาพปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน เป็นเหตุที่ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน เป็นพลังขับเคลื่อนในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ในรูปแบบของ "กลุ่มช่วยตัวเอง" (Self - Help Group) เนื่องจากการใช้บริการจากหน่วยงานภาครัฐมีความล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นที่มีข้อบังคับให้ต้องติดต่อประสานงาน ชาวชุมชนเหล่านั้นแม้ จะไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แต่ก็มาพูดคุยกัน หารือหาทางออกของปัญหาร่วมกัน ในการจัดการกับปัญหาชุมชนใช้หลักตรรกะ (Logic) หรือ ความเป็นเหตุเป็นผล (Causes & Effects) เป็นพื้นฐานโดยตั้งอยู่บนฐานความคิดที่เป็นความจริง (Reality) คำนึงถึงหลักศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (Human Dignity), หลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights) หลักประชาธิปไตย หลักความถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมืองและกติกาของสังคม (Legal Right & Social Rights) ทั้งนี้เพราะปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในชุมชน หลายกรณีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูแลไม่ทั่วถึง หรือล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ชาวชุมชนจึงไม่อาจรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ต้องช่วยตนเองเป็นการเฉพาะ หน้าก่อน เพราะปัญหานั้นสร้างความเดือดร้อนและขัดขวางต่อการดำเนินชีวิตปกติสุข จึงเป็นแรงผลัก (Drivem) ที่ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกันในแบบจัดตั้ง "กลุ่มช่วยตัวเอง" (Self - Help Group)

ปัญหาของชุมชนเมืองในการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาพที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัญหาความจำเป็นขั้นพื้นฐาน(Basic Needs) ด้านความมั่นคงในชีวิตมนุษย์ ที่ทุกคนต้องมีบ้านพักอาศัย ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนเมือง แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ

1.1 ปัญหาที่อยู่อาศัยซึ่งชาวชุมชนประสบก่อนย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชน ได้แก่ชุมชนแออัดซอยสวนเงิน และชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ทั้งสองชุมชนมีลักษณะคล้ายกันในที่มาของการมีปัญหาที่อยู่อาศัย คือ บุกรุกที่ดิน, ถูกไล่ที่, อพยพมาจากที่อื่น / มาจากต่างจังหวัด, เข้ามาหางานทำมาอยู่กับเพื่อนหรือญาติพี่น้อง, ไฟไหม้บ้านไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น

1.2 ปัญหาที่อยู่อาศัยซึ่งชาวชุมชนประสบภายหลังจากเข้ามาอยู่ในชุมชนแล้ว ได้แก่ ชุมชนหมู่บ้านจัดสรร คือชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อ และชุมชนอาคารชุดเมืองทองธานี C1 ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งในการที่เจ้าของโครงการไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย ผู้อยู่อาศัยเป็นมีการศึกษาสูง มีความรู้ทางกฎหมาย และ รวมตัวเรียกร้องความเป็นธรรม เป็นผลสำเร็จ ต่อมากลุ่มผู้เรียกร้องจึงพัฒนาเป็นกลุ่มแกนนำ และ ได้รับการยอมรับเป็นคณะกรรมการชุมชน มีการจัดกิจกรรมหรือบริการตามความต้องการของชาวชุมชน เป็นครั้งเป็นคราวในโอกาสสำคัญ หรือ จัดทำเป็นธรรมเนียมประเพณี ประจำปีของชุมชน ทำให้เกิดความ รู้ รัก สามัคคี ซึ่งเป็นแกนหลักของชุมชนเข้มแข็ง

2. ภาวะผู้นำ

สภาพปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน เป็น "ตัวเร่ง/ตัวกระตุ้น" (Catalyst) ให้ชาวชุมชนค้นหา "ผู้นำตามธรรมชาติ" (Natural Leader) หมายถึง บุคคลที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น (Charisma) เป็นผู้นำทางความคิดของคนในชุมชน สามารถมมองเห็นภาพแห่งอนาคตและสามารถสื่อสาร "ขายและขยาย" ความคิด ความเชื่อ ปรัชญาของตนให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รู้ได้เห็น มีการโน้มน้าวชักจูงให้เห็นความสำคัญ ความเห็นด้วยอย่างได้ผล สร้างความรู้สึกผูกพัน น่าสนใจ น่าท้าทาย กับวิสัยทัศน์นั้น อันจะนำไปสู่ การปฏิบัติโดยการเพิ่มอำนาจ (Action through Empowerment) (วีระวัฒน์ ปันนิตามัย, 2544, 128-129) ผู้นำตามธรรมชาติ เป็นบุคคลที่อยู่ในชุมชนนั่นเอง เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจถึงภาวะความกดดัน และหากผู้นั้นมีวิสัยทัศน์ (Vision) คือสามารถมองเห็นภาพในอนาคต หรือมีวิสัยทัศน์ ประกอบกับมีความรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ด้วยความสามารถ/ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตน จะทำให้เป็นผู้นำที่มีพลังอำนาจบารมี (power)ที่ชาวชุมชนเชื่อถือ ยิ่งถ้ามีความกล้าคิด กล้าทำแบบมีความรับผิดชอบต่อ ส่วนรวม ก็ยิ่งจะทำให้ชาวชุมชนศรัทธับถือและเข้าร่วมกระบวนการจัดการกับปัญหาของ ชุมชนตามแนวทางที่ผู้นำเสนอแนะ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้นำชุมชน ต้องมีวิสัยทัศน์ และสามารถบริหารวิสัยทัศน์ ด้วยการมีจิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness ) และ ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility)

ผู้นำตามธรรมชาติมีอยู่ในทุกชุมชน นับว่าเป็น "ทุนมนุษย์" (Human Capital) อันยิ่งใหญ่สำหรับการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย จึงต้องค้นหาผู้นำตามธรรมชาติของชุมชน ให้พบ หากภาวะผู้นำตามธรรมชาติดังกล่าวบูรณาการอยู่ในตัวบุคคลที่ได้รับการแต่ง ตั้งเป็น ผู้นำแบบทางการ (Formal Leader) เช่น คณะกรรมการชุมชน ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ผู้นำคนนั้นมีฐานะและศักยภาพสูงขึ้นในการจัดการกับปัญหาของชุมชน และพบว่า ลักษณะสำคัญของผู้นำชุมชนที่ได้รับการยอมรับจากชาวชุมชน คือบุคคลที่มี ความซื่อสัตย์ จริงใจ มีความเสมอภาค และให้ความเป็นธรรม จึงจะสามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Leader) ได้สำเร็จ

ผู้นำชุมชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดในการชักจูงและนำพาชาวชุมชนไปสู่การ จัดการกับปัญหาชุมชนได้สำเร็จตามที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ร่วมกัน ซึ่งต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน และความเป็นประชาธิปไตย เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย

3. วิธีคิดในการจัดการกับปัญหาของชุมชน

พบว่า ชาวชุมชนจะรวมตัวกันเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยที่ "คนไทยจะรวมตัวกันเมื่อภัยมา" และหากได้ผู้นำที่ดีก็จะสามารถจัดการกับปัญหาได้ แต่ถ้าขาดผู้นำที่ดีชุมชนก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาชุมชนได้สำเร็จ ดังนั้น ในการจัดการกับปัญหาชุมชน จึงควรให้ความสนใจกับวิธีคิดของผู้นำชุมชน

ในที่นี้ พบว่า วิธีคิดของชุมชนในการจัดการกับปัญหาชุมชนอันดับแรก คือ "การคิดเอาตัวรอด" (Survival) ก่อน โดยค้นหาต้นเหตุแห่งปัญหาและลงมือกระทำการบางอย่างตามประสบการณ์ของชาวชุมชน โดยใช้หลักตรรกะ (Logic) แต่ความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของชุมชนและผู้นำชุมชน รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วม ในวิธีการจัดการกับปัญหาชุมชนอย่างถูกวิธี ซึ่งต้องไม่ขัดแย้งกับกติกาของสังคม เช่น การจัดการกับปัญหาที่อยู่อาศัย ด้วยกระบวนการเจรจากับเจ้าของโครงการ/ เจ้าของที่ดิน/ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามสัญญาซื้อขาย เช่น ที่หมู่บ้านจัดสรรร่วมเกื้อพัฒนา การขอความร่วมมือหรือความอนุเคราะห์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการกู้ยืม เงินสร้างบ้าน และการปันส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Sharing) ของชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ในโครงการบ้านมั่นคง การโอนอ่อนผ่อนตาม/ เคารพกติกาของสังคม/ ปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีถูกห้ามขายพวงมาลัยบนท้องถนน โดยยอมให้จับปรับ แต่ก็กลับมาขายอีก เพราะยังไม่สามารถหาอาชีพอื่นทดแทนที่มีรายได้ดีเช่นนี้ และการบังคับใช้กฎหมายไม่เคร่งครัด ดังเช่นที่ชุมชนซอยสวนเงิน อย่างไรก็ตามพบว่าหลักคิดของชาวชุมชนที่นำไปใช้ในการต่อสู้ หรือจัดการกับปัญหา คือ หลักศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) หลักความถูกต้อง เป็นธรรม(Social Justice) หลักการมีส่วนร่วมและการเพิ่มพลังอำนาจ (People Participation & Empowerment ) หลักแห่งความเป็นจริง (Reality) และหลักการแก้ปัญหาแบบสันติวิธี (Peaceful Solving Problems) ที่บูรณาการอยู่ในกิจกรรมหรือบริการที่ชุมชนจัดให้มีขึ้น ความสำเร็จในการจัดการกับปัญหาชุมชน ขึ้นอยู่กับ "จิตสำนึกสาธารณะของชาวชุมชน" (Community Conciousness) ที่ควรได้รับการส่งเสริมให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มพลังของ "การ รู้ รัก สามัคคี" ซึ่งจะพัฒนาเป็นพลังร่วมของชาวชุมชน (Synergy) ที่จะทำให้เกิดชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น

4. วิธีปฏิบัติในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ขึ้นอยู่กับบริบทของปัญหา ภาวะผู้นำชุมชน วิสัยทัศน์ผู้นำ การบริหารวิสัยทัศน์ และการบูรณาการความคิดร่วมของชาวชุมชน ในการจัดการกับปัญหาของชุมชนอย่างถูกวิธีตามความเป็นจริง

การกระทำหรือการจัดกิจกรรม/บริการใดๆเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน มิใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อาจผ่านตัวแทนหรือแกนนำของชุมชนในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ซึ่งความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับ ระดับการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน และ การสื่อสารแบบสองทาง (Two -Way Communication) ระหว่างผู้นำชุมชนและชาวชุมชน จนเป็นที่เข้าใจถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

ในการศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า บริบทของสภาวะแวดล้อมที่เป็นปัจจัยภายนอกชุมชน ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน ร่วมกันคิดและจัดกิจกรรมหรือบริการต่างๆ เช่นที่ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เกิดขึ้นตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน โดยใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ในการจัดสวัสดิการสังคม (ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช, 2545 ) และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตลาดน้ำตลิ่งชันเป็นแหล่งท่องเที่ยวและส่งเสริม ให้ชาวชุมชนเขตตลิ่งชันมีโอกาสประกอบอาชีพเพิ่มรายได้จากการประกอบอาชีพค้า ขาย ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวัน นักขัตฤกษ์

จาก ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมืองที่เป็นข้อค้นพบจากการศึกษาดังกล่าว สามารถแสดงให้เห็นดังแผนภาพที่ 1

แผนภาพที่ 1
ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

จากแผนภาพข้างบนนี้ แสดงให้เห็นถึง "วิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" จาก 5 ชุมชนที่ศึกษา พบว่า การบริหารสังคม หรือ การสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลงในการจัดการกับปัญหาเป้าหมายของชุมชนนั้น จะเริ่มต้นจาก "คนในชุมชน" ซึ่งเป็นแก่นกลางของชุมชน ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน จะเป็นปัญหาที่ขัดขวางต่อการดำเนินชีวิตปกติสุขของชาวชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ ปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาการมีงานทำและการมีรายได้เพียงพอแก่การดำเนินชีวิต จะได้รับความสนใจจากชาวชุมชนและเป็นแรงผลักดันให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน ทั้งนี้จะต้องมี "คนชักใยแมงมุม" (Spider Network) หรือ "ผู้นำ" ทำหน้าที่เป็นผู้นำความคิดและสื่อสารความคิด ให้ชาวชุมชนเข้าใจ และบริหารวิสัยทัศน์ร่วมกัน กำหนดเป็นแผนและนโยบายของชุมชนในการจัดการกับปัญหา และจัดกิจกรรม/บริการที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาของชุมชนอย่างเป็นระบบ อาทิ การจัดตั้งคณะกรรมการชุมชน คณะอนุกรรมการ กลุ่มงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามแผนงานและโครงการ ประสานความร่วมมือกับชาวชุมชน ในการปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ทำงานอย่างเป็นกระบวนการหรือขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การกำหนดประเด็นปัญหา 2) การวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุที่ตรงกับความเป็นจริง 3) การวางแผนการดำเนินงาน เช่น การทำแผนแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน 4) การดำเนินงานตามแผนงานและโครงการ 5) ติดตามประเมินผลสำเร็จตามเป้าหมายของการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ในท้ายที่สุดคือเพื่อการพัฒนาคนและสังคมแบบยั่งยืน โดยพิจารณาจากตัวชี้วัด คือ ความสามารถของชุมชนในการจัดการตนเองจนถึงระดับการพึ่งตนเองได้ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นจะทักษะชีวิตในการจัดการกับปัญหาที่ตนเอง ครอบครัวและชุมชนในโอกาสต่อไป การมีจิตสำนึกสาธารณะที่ร่วมกันแก้ปัญหาของชุมชนด้วยทางออกแบบสันติวิธี ซึ่งแสดงให้เห็นดัง "รูปวงล้อการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ดังนี้

แผนภาพที่ 2
รูปแบบการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

จากการสรุปบทเรียนรู้ (Lesson Learned) ในการวิจัยเรื่องการบริหารสังคมกับความเข้มแข็งของชุมชนเมือง 5 ชุมชน ทำให้มองเห็นตัวอย่างที่ดีและปัจจัยสำคัญๆในการนำมาใช้ประโยชน์ต่อการสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชนเมืองแห่งอื่นๆได้ไม่มากก็น้อย โดยมีข้อเสนอแนะต่อวิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง ดังต่อไปนี้

ข้อเสนอแนะต่อวิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง

1. การบริหารสังคมของชุมชนเมืองมีปัจจัยชี้วัดความสำเร็จอยู่ที่ตัวแปรในเรื่อง คน, สภาพปัญหาของชุมชน, วิธีบริหารจัดการที่โปร่งใส, การมีส่วนร่วมจากชาวชุมชน และ การสร้างพลังชุมชน จึงควรสร้างกระบวนการพัฒนาชาวชุมชน ด้วยการเสริมแรงด้านความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในบริบทของปัญหาชุมชน และสร้าง การ รู้ รัก สามัคคี ระหว่างชาวชุมชน เพื่อเป็นพลังร่วมของชาวชุมชน ผู้นำชุมชน แกนนำชุมชน ด้วยการมีจิตสำนึกสาธารณะและการทำงานร่วมกันแบบธรรมาภิบาล

2. การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง ควรให้ความสำคัญแก่การพัฒนาคนในชุมชน โดยเริ่มจากค้นหาผู้นำธรรมชาติ ซึ่งเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญ แล้วขยายผลออกไปสู่คนรอบข้าง หรือรวบรวมเป็นแกนนำชุมชน สร้างพลังชุมชน โดยการเสริมสร้างความรู้เท่าทันในสถานการณ์ของปัญหาชุมชน

3. ปัจจัยแวดล้อมภายนอกชุมชน มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชน ชาวชุมชนต้องเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี สามารถปรับตัวได้อย่างทันต่อสถานการณ์ จึงต้องเรียนรู้การปรับวิธีคิดและวิธีปฏิบัติตนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างเป็นปกติสุข

4. รัฐยังคงมีพันธกิจในการดูแลประชาชนให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข รัฐจึงต้องแสวงหาภาคีการพัฒนาเป็นหุ้นส่วนในการบริหารสังคมแบบองค์รวมเพื่อ นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของการพัฒนาสังคม

5. ผู้นำชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน จึงมีควรกำหนดภาพลักษณ์ของผู้นำชุมชน/ แกนนำชุมชน/ คณะกรรมการชุนชน ที่พึงปรารถนาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคนและผู้นำชุมชน ซึ่งอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิคสำนึกสาธารณะ มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ ซื่อสัตย์ มีความจริงใจในการทำงานเพื่อชุมชน มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีวิสัยทัศน์ และเรียนรู้ในการบริหารวิสัยทัศน์ เพื่อจูงใจให้ชาวชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมหรือบริการต่างๆเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน

รศ.ดร.ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
อาจารย์ประจำ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เสมา มีสมบูรณ์
ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารสังคม ( มบส./ SAF)

ปรมินทร์ สิริโชดก
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กรทางสังคม แห่ง มูลนิธิเพื่อการบริหารสังคม


บทความวิชาการจากรายงานการวิจัยเรื่อง "การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2549, 15 มกราคม 2551

http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=656

JasMin Jaja ขอความอนุเคราะห์ เพื่อผู้ยากไร้

ขอความอนุเคราะห์ เพื่อผู้ยากไร้
 http://www.facebook.com/pages/DJ-SIERA/123145747869?v=wall#/note.php?note_id=463947525577&id=707849159&ref=nf
วันนี้เกิดวิกฤติหนัก มีงบลงพื้นที่เพียงค่าน้ำมัน 200 บาท จึงได้นำเสื้อผ้าที่ขออนุญาติผู้บริจาคไประดมทุนทำงาน ได้ 1,120 บาท ซึ่งสามารถต่อยอดการทำงานได้ในอาทิตย์นี้ แต่ปัญหาในตอนนี้คือค่าใช้จ่ายสำนักงาน ที่ต้องให้งานดำเนินต่อไป และการทำงานในอาทิตย์ต่อ ๆ ไป เพราะเช็คยอดล่าสุดวันนี้มีเงินบริจาคเข้ามาเพียง 800 บาท แต่ก็ สู้ ๆ ค่ะ ระดมทุนกันต่อไปเพื่อต่ยอดการทำงานที่หนักขึ้นเพราะต้องเตรียมการรองรับการดูแลตนไร้บ้านหลังปิดสนามหลวง จึงเชิญชวนสนับสนุนงบประมาณในการต่อยอดการทำงานกับคนไร้ที่พึ่ง

ธนาคารกรุงไทย สาขาปิ่น เกล้า
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
เลขที่บัญชี 031 – 0 – 03432 – 9

ธนาคารกสิกรไทย สาขาปิ่นเกล้า
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
เลขที่บัญชี 706-2-33411-2

ธนาคารกรุงเทพ สาขามีนบุรี
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
เลขที่บัญชี 145-5-24762-5


ใครจะช่วยสนับสนุน ก็ โอนเงินมาได้ตามบัญชีข้างบนนะครับ โอนเงินเสร็จแล้ว อย่าลืมแฟ๊กซ์ ใบนำฝาก มาที่

หมายเลขโทรสาร 0-2914-5146 เพื่อจัดส่งใบเสร็จรับเงินกลับไปให้ ค่ะ

ผู้ได้รับผลกระทบจาก การปิดสนามหลวง

ผู้ได้รับผลกระทบจาก การปิดสนามหลวง

นที สรวารี : ผู้ได้รับผลกระทบจาก การปิดสนามหลวง




ผู้ได้รับผลกระทบจาก การปิดสนามหลวง

กลุ่มผู้ค้าแผงลอยในสนามหลวงและปริมณฑล 1,700 แผง x สมาชิกในครอบครัว 3 คน = 5,100 คน

กลุ่มพนักงานบริการ(หญิงขายบริการ)ที่มีครอบครัวที่ตองรับผิดชอบ 400 คน x สมาชิกฯ 3 คน = 1,200 คน

กลุ่มหมอนวดและหมอดูในสนามหลวง 500 คน x สมาชิกในครอบครัว 3 คน = 1,500 คน

คนเร่ร่อนไร้บ้านผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ 600 คน

จำนวนคนที่ได้รับความเดือนร้อน ขั้นต่ำ คือ 8,400 คน แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจริง ๆ การปิดสนามหลวงเพื่อปรับปรุงรภูมิทัศน์ ในครั้งนี้จะมีผู้ได้ผลกระทบ จะมีไม่น้อยกว่า 10,000 คน อย่ามองเพียงตัวเลขว่าเพียงหยิบมือ เพราะ คน 10,000 คน คือสัญญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะ ยังมีคนยากไร้ ยากจน ที่ไม่มีแม้โอกาสจะมาพักอาศัย หรือ ขายของ ทำมาหากินที่ สนามหลวง

(ไขมัน)เปลว สีเงิน เสร่อแสดงความเห็นเรื่อง ความกล้าหาญของการปิดสนามหลวง แบบไม่รู้เส้นสนกลใน ของการ ผลาญงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง 180 ล้านบาท และงบ ปรับปรุงเกาะรัตนโกสินทร์อีก นับพันล้านบาท ?? หาก (ไขมัน)เปลว สีเงิน มองโลกแคบ แบบนี้ ก็จะไม่สามารถ ยืดอกได้ว่า เป็นผู้มี อิสระทางความคิด ตามที่ประกาศไว้บนหัวหนังสือ ที่เขา อุตส่าห์ เสนอความต่าง แต่สุดท้าย ก็ มีเพียง อคติที่ เป็นเหมือนขี้ก้อนหนึ่งที่วางอยู่บนหัว

ดังนั้นกลไกที่รัฐควรจะเร่งรีบทำมากกว่า จัดการสนามหลวง คือการเสริมกลไกที่ให้ความดูแลคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในสังคมไทยในฐานะเพื่อนพลเมืองที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเท่า ๆ กัน เพื่อแสดงบทบาทของ ผู้นำ ที่ ห่วงใยคนยากไร้ อย่างจริงใจ ไม่ใช่ แสดงออกเพียงเพื่อเรียกความฮา หรือ คะแนนเสียงเท่านั้น


Who have been affected by. Closing Sanam Luang.

Vendors stall in Sanam Luang and vicinity x 1,700 panel members in the family, 3 people = 5,100 people.

The service staff (prostitute) with family members responsible for the 400 x 3 people = 1,200 people.

Chiropractor and the prophet in Sanam Luang 500 x 3 family members = 1,500 people.

Nomadic people who live in mobile homes on 600 public employees.

Number of people receiving the summer minimum is 8,400 people, but if considering the fact details of closed Sanam Luang to improve the associated landscape. This will be the impact. Be not less than 10,000 people just do not see numbers that take only one hand because 10,000 people are symbols of social difference because there are poor people poor, without even the opportunity to live or sale of livelihood. at Sanam Luang.

(Fat) burning silver twist His comment about. Courage of the closing of Sanam Luang. An unknown linear string of mechanical destruction in the project budget, 180 million strong Thai baht and other budget updates Rattanakosin Island. Billions of baht?? If (fat) burning silver narrow-world view, will not be able to extend the chest that is independent thought. As announced on his head the book offers a different endeavor, but the last is only a partial piece of gum in the same place on the head.

Therefore, mechanisms that states should do more urgency. Royal Plaza management. Mechanism is added to the care of people without shelter in Thai society as citizens with dignity friends of the same people to play the role of leader genuinely cares about poor people not only to call expression of interest or votes. only.



ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

กวางเผือกหายาก

'เลี่ยน'ฮือฮา พบกวางเผือกหายาก

Pic_60165

ภาพโดย เดลี่ เมล์ (www.dailymail.co.uk)

สองพ่อลูก มัสซิโม เดล ดิน และ ลูกสาว เดโบราห์ ถ่ายภาพกวางเผือก เป็นสัตว์ที่พบได้ยากมาก ขณะที่ทั้งคู่เดินป่าอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี

สำนักข่าว ต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค. สองพ่อ-ลูก มัสซิโม เดล ดิน และ เดโบราห์ ถ่ายภาพกวาง มีขนเป็นสีขาวได้ ขณะเดินป่าในเขตโดโลมิเต เมืองเบลลูโน บริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี โดยลูกกวาง คาดว่าจะมีอายุราว 8 เดือนนี้ เดินอยู่กับแม่ของมันที่มีน้ำตาลปกติ

จิอัมมาเรีย ซอมมาวิลลา หัวหน้าตำรวจภูธรเบลลูโน ยืนยันว่ากวางนี้เป็นสัตว์ที่หาพบได้ยากมาก โดยเขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อได้เห็นภาพ เท่าที่จำได้ว่ามีการพบเห็นกวางเผือกแบบนี้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปหลาย ทศวรรษทีเดียว

เจ้าหน้าที่อิตาลีต้องรีบประกาศห้ามล่ากวางเผือกตัว นี้ ให้บรรดานายพรานที่มีใบอนุญาตกว่า 3,500 คน ทราบ โดนเลอันโดร โกรเนส จากสมาคมนักล่าสัตว์ท้องถิ่นบอกว่า กวางตัวนี้เป็นความลึกลับของธรรมชาติ พรานที่ตามล่ามันจะพบจุดจบเดียวกัน

http://www.thairath.co.th/content/oversea/60165

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor | เครือข่ายพลเมืองเน็ต | Thai Netizen Network

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor | เครือข่ายพลเมืองเน็ต | Thai Netizen Network

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor

Submitted by tewson on Wed, 04/08/2009 - 00:35

(11 เม.ย. 2552) เพิ่มเติมหมายเลขบัญชีของลูกชายคุณสุวิชา
(April 11, 2009) Mr Suwicha's son's bank account added

ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับครอบครัวของคุณสุวิชา ท่าค้อ สามารถมอบเงินช่วยเหลือได้ทาง

เลขที่บัญชี: 408 - 0 - 31301 - 2
ชื่อบัญชี: นางอมร ท่าค้อ
ธนาคารกรุงไทย

หรือ

เลขที่บัญชี: 115 501 201 406 443
ชื่อบัญชี: ด.ช ธีรัตน์ ท่าค้อ
ธนาคารออมสิน สาขานครพนม

For those who are willing to support Mr. Suwicha Thakor and his family, you can transfer financial support directly to

Account No.: 408 - 0 - 31301 - 2
Account Name: Mrs. Amorn Thakor (Mr. Suwicha's mother - the name may not be correctly spelled)
Krung Thai Bank (http://www.ktb.co.th/en/main/index.jsp)

or

Account No.: 115 501 201 406 443
Account Name: Theerat Thakor
Government Savings Bank, Nakhon Phanom Branch

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ

สุวิชา ท่าค้อ นักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกตัดสินลงโทษจำคุก 10 ปี ส่งจดหมายถึงนายอานนท์ นำพา ทนายความเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา โดยนายอานนท์ เปิดเผยว่าจดหมายดังกล่าวอาจจะเป็นฉบับสุดท้ายที่สุวิชาจะส่งถึงตัวเขาได้ เนื่องจากสุวิชาถูก “เซ็นเซอร์”

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินกาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายสุวิชาพร้อมด้วยครอบครัวได้ยื่นฎีกาไปแล้ว และคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนมกราคมนี้ แต่จนถึงบัดนี้ ไม่ทราบผลการฎีกาดังกล่าว มีเพียงคำอธิบายอย่าง “ไม่เป็นทางการ” จาก “ข้าราชการ” ผู้หนึ่งว่า "เรื่องของสุวิชาไม่เข้าหลักเกณฑ์” สุวิชา ท่าค้อ ส่งจดหมายฉบับนี้ให้แก่ทนายความของเขาและขอร้องให้เปิดเผยแก่สาธารณะได้อ่าน อนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสุวิชา ส่งจดหมายออกมาเป็นจำนวนหลายฉบับ

เนื้อความจดหมายฉบับล่าสุดมีดังนี้
เรือนจำคลองเปรม
1 มกราคม 2553
เรียนคุณอานนท์
ผม สูญเสียอิสรภาพและหมดโอกาสที่จะกลับไปเลี้ยงดูลูกเมียผมเป็นเสาหลักของบ้าน และครอบครัวเดือดร้อนมากที่ขาดผมไป จากครอบครัวที่เคยอยู่อย่างอบอุ่นมีความสุข ต้องพังทลายลงเป็นบ้านเรือนแตกแยกเพราะขาดพ่อไป ผมหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่ที่ยังเหลือคือลมหายใจและความหวังที่มืดมน
ผม ขอฝากให้คุณอานนท์โปรดช่วยเหลือและดูแลครอบครัวแทนผมด้วย ผมเป็นห่วงครอบครัวอย่างมากตั้งแต่ที่ผมถูกจับกุมและตลอดมาผมและครอบครัว เรียกร้องขอความเมตตาจากพวกเขา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขามองผมเป็นผู้ร้ายที่จะต้องปราบปราม แต่ไม่ยอมมองถึงต้นเหตุของปัญหาเลยเพราะเหตุทำให้เกิดผล ผมเป็นเพียงแค่ลูกชาวนาธรรมดาและมีความรักต่อสถาบันเหมือนคนไทยทุกคน แต่ที่ผมมีความผิดแบบนี้ก็เพราะเป็นผลผลิตมาจากพวกเขาทั้งนั้นที่ร่วมกัน สร้างผมขึ้นมา แต่เขาไม่เคยมองไปที่ต้นเหตุของมันทั้งที่รู้ทั้งรู้ และผมก็ได้บอกความจริงไปหมดแล้ว แต่พวกเขามองผมเป็นตัวอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงเพื่ออะไรก็ตามแต่ที่ พวกเขาจะร่วมกันกล่าวหาและลงโทษต่อผมอย่างรุนแรง ทั้งที่ความจริงผมเป็น สุจริตชนที่ทำงานโดยสุจริต ผมไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เคยครอบครองอาวุธใดๆ เลย นี่หรือคือบุคคลอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ? ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมจึงอยากจะเล่าเหตุการณ์วันที่ 14 มกราคม 52 ได้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมทั้งห้าชีวิตให้คุณ ฟัง
1 น้องลูกไก่ อายุ 6 ปี เมื่อผมถูกจับกุมภรรยาต้องรีบเดินทางตามผมมาที่กรุงเทพฯ ทันที และเราต้องทิ้งลูกทั้งสองไวตามลำพังเป็นเวลาหลายวัน ลูกชายคนเล็กจะติดแม่มากเพราะเขาอยู่ด้วยกันเสมอ เขาไม่รู้ความจริงหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนปิดบังเขาไว้ เขาร้องไห้หาแม่ทุกวัน และเขาออกไปยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านนานไม่เหลือน้ำตาที่จะไหล จนกระทั่งหลายวันผ่านไปเมื่อภรรยาสิ้นหวังกับการประกันตัวผม เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะสงสารลูก แต่กลับไปเพียงแค่รับลูกชายคนเล็กเดินทางมาที่กรุงเทพฯ โดยไม่สนใจเรื่องการเรียนของเขา (ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่มีจิตใจที่จะเรียน) ภรรยาเป็นห่วงผมมากที่สุดเพราะผมอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากในขณะนั้น ภรรยาเล่าว่าตอนที่เขากลับไปหาลูก ลูกกอดแม่แน่นและร้องไห้พร้อมกับบอกแม่ว่า “แม่อย่าทิ้งหนูไปอีกนะ หากแม่จะไปไหนต้องเอาหนูไปด้วย” และภรรยาผมรับคำสัญญาให้กับลูก เมื่อเรื่องของผมไม่มีทางได้จบลงได้โดยง่านและเมื่อภรรยาจะไปไหนจำเป็นต้อง นำเขาไปด้วยเสมอ เธอต้องหอบลูกเดินทางไป-กลับ กทม.และนครพนมบ่อยมาก พวกเขาเดือดร้อนมาก ปัจจุบันเขาเรียน EP ป. 2
2 น้องนิด อายุ 13 ปี เมื่อทราบข่าวหลังเลิกเรียนและไม่ได้พบทั้งพ่อและแม่ เขาร้องไห้เศร้าโศกเสียใจแทบสิ้นสติ แต่โชคยังดีที่เขายังได้คุยกับแม่ แต่ไม่มีโอกาสจะได้คุยกับผมเพราะผมอยู่ในการควบคุมตัว ตำรวจยึดทั้งโทรศัพท์ของผมและภรรยาเพื่อไปตรวจสอบ พวกเขาคุมตัวผมมากเป็นพิเศษ แม้แต่จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมให้ผมล็อกประตู วันถัดมาภรรยาได้เข้าพบผมที่ห้องขัง DSI สิ่งแรกที่เธอทำคือแกะกระดุมเสื้อผมเพื่อตรวจดูร่องรอยการทำร้ายร่างกาย ดูเธอโล่งใจขึ้นเมื่อร่างกายผมยังอยู่ปกติ เธอจับมือผมแน่นร้องไห้และพูดว่า “รู้ไหม? ในสมองคิดถึงแต่เรื่องนุ้ยจะหลับตาหรือลืมตาก็จะเห็นแต่หน้านุ้ยตลอดทั้งคืน ” ผมพยายามพูดปลอบเธอแต่เธอไม่ให้ผมพูดอะไร ขอให้พูดแต่เรื่องลูกของเรา “รู้ไหมน้องนิดแทบจะบ้าไปแล้ว บอกแม่ว่าให้เอาตัวพ่อคืนมาให้ได้ หากไม่ได้ตัวพ่อกลับมาด้วยแม่อย่ามาให้เห็นหน้าอีก” แต่เมื่อผมประกันตัวไม่ได้ ภรรยาก็โดนลูกสาวว่าไปไม่ทันวันจันทร์ถึงช่วยพ่อไม่ได้ ลูกสาวกัดด่าแม่ใหญ่คิดว่าเป็นความผิดของแม่ที่ไปไม่ทันตามที่อ้าง เพราะน้องนิดไม่รู้ความจริงว่า พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่หลวงมากแค่ไหน ข่าวการจับกุมตัวผมปรากฏไปทุกสื่อ น้องนิดต้องได้รับความกดดันมากจากสังคมที่โรงเรียน เพราะพ่อเป็นนักโทษคดีร้ายแรง ชีวิตเขาเหมือนตายทั้งเป็นเพราะจิตใจบอกช้ำอย่างหนัก สิ่งดีที่สุดที่เขาทำได้คือสวดมนต์ให้พ่อปลอดภัยและอธิฐานให้ได้ตัวพ่อคืนมา ปกติเขาเป็นคนขี้กลัวและนอนข้างผมทุกคืน เพราะเขาจะนอนหลับอย่างอุ่นใจ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกตัวเขาจะขว้ามือผมไปกอดเขาเสมอ แต่จากนี้ไปถึงสิบปีเขาจะไม่มีพ่ออีกแล้ว ตลอดหนึ่งปีผ่านมาเขาก็ยังไม่ได้เห็นหน้าพ่อเลย เขายังคงร้องไห้คิดถึงพ่อของเขาในวันที่ 14 ของทุกเดือน จากฝันร้ายที่เธอยังยอมรับกับมันไม่ได้ มันแย่มากสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความโหดร้ายที่เธอไม่คาดคิดว่า มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา ปัจจุบันน้องนิดเรียนอยู่ ม. 2 EP ที่โรงเรียนxxxxxx และเคยเรียนดีท็อปตอน ม. 1 ตอนนี้ผมไม่รู้ชตากรรมของเธอนัก
3 น้องเล็ก อายุ 15 ปี เขาเรียนอยู่ ม. 3 ที่กรุงเทพฯ และเฝ้าคอย และอีกไม่นานก็จะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องๆ ที่นครพนม เมื่อเขากลับถึงบ้านก็พบกับตำรวจนับสิบคนกำลังค้นบ้าน เขานั่งนิ่งเหมือนคนไร้สติจากความตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตำรวจยึดเอาคอมของเขาที่เพิ่งจะซื้อมาเองเมื่อไม่นาน และผมใช้แค่เช็คเมล์บางครั้งตอนผ่านกรุงเทพฯและเดินทางต่อไปที่แท่นขุดเจาะ น้ำมันที่เวียดนามและไม่เคยใช้คอมในเรื่องการเมืองเลยเพราะช่วงเกิดเหตุผม อยู่ที่ประเทศเวียดนาม ตำรวจได้นำตัวเขาไปสอบสวนด้วยตามลำพัง คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเขาจะหวาดกลัวมากเพียงไหน และต่อมาเขายังถูกตำรวจเฝ้าติดตามอยู่ระยะหนึ่ง ผมคับแค้นใจมากแค่ไหนที่พวกเขาทำกับลูกผมแบบนี้ เขานอนร้องไห้เป็นห่วงพ่อที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและอนาคตของครอบครัว มันแย่มากสำหรับเขา ตำรวจที่ DSI บอกกับผมว่าจะก๊อปปี้ข้อมูลจากคอมมาลงที่ฮาร์ดดิสของตำรวจและจะคืนคอมให้ลูก ของผมเพื่อเขากลับไปใช้งาน หลายอาทิตย์ต่อมาภรรยาผมไปทวงกลับถูกปฏิเสธอ้างว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จ ภรรยาบอกว่าลูกจะต้องใช้งานเพราะเขากำลังจะสอบอีกทั้งคอมนั้นก็ไม่เกี่ยว ข้องกับผม ตำรวจบอกภรรยาผมว่า “หากลูกคุณอยากใช้ คุณก็ไปซื้อเครื่องใหม่ให้ลูกคุณสิ” สุดท้ายพวกเขาก็ขอให้ศาลริบเป็นของกลาง (คิดดูกันเองแล้วกัน) ตำรวจท่านนี้ยังสร้างความเจ็บปวดให้ลูกเมียผมมาก มีอยู่วันหนึ่งเขาบังเอิญพบภรรยาผมที่ศาล เขาชูสองนิ้วให้ภรรยาผมและพูดว่า “แฟนคุณเจอสองกรรม” พร้อมกับยิ้มเพื่อแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่ผมได้รับความผิดได้มากขึ้น ภรรยาผมทุกข์ใจมากอยู่แล้วต้องมารับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกจากพฤติกรรมดัง กล่าว หากเขาจะช่วยเงียบเฉยๆ จะเป็นการดีอย่างยิ่งต่อภรรยาผมที่กำลังอยู่ในกองทุกข์และภรรยาผมก็ไม่ได้ ทักทายอะไรเขาเลย ผมอยากให้เขาคิดบ้างสักนิด ลูกผมจ้องเรียนไปทุกข์ใจไปด้วยจนถึงปิดเทอม ต่อมาลูกชายผมก็ได้บวชเณร เขาคงมีจิตใจที่ดีขึ้นบ้างที่ได้พระธรรมเป็นที่พึ่ง แต่เขาก็ยังคงเครียดอยู่ตลอดเวลาที่ต้องมากำพร้าพ่อในขณะนี้ จิตใจยังคงบอบช้ำจนกว่าจะได้พ่อคืนมา บางวันเขาเครียดมากออกไปหลังบ้านและตะโกน “เล็กคิดถึงพ่อ” ภรรยาผมได้แต่ร้องไห้สงสารลูกเพราะเธอทำทุกอย่างจนสุดความสามารถแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความโหดร้ายต่อลูกๆ ผมจะได้ยุติลงสักที ชีวิตของเด็กๆ ทั้งสามอยู่ในกำมือของพวกเขา คิดเขาจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาเราได้แต่ร้องเรียกของความเมตตา ปัจจุบันเล็กเรียนอยู่ ม.4 EP ที่โรงเรียนxxxxxxx เขาคือลูกคนแรกในชีวิตผมซึ่งผมรักและหวงแหนมาก
4 นา อายุ 36 ปี นาคือภรรยาที่มีค่ามากสำหรับผม เรามีลูกด้วยกัน 3 คน เธอเรียนจบแค่ ป. 6 และเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่ดูแลลูกๆ สิ่งที่เธอกำลังประสบมันหนักหนาเกินกว่าที่เธอจะรับไหว แต่เธอสู้ทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผมเพราะมันหมายถึงชีวิตเธอที่มีค่าและลูกๆ ของพวกเรา หากไม่มีผมพวกเขาจะอยู่กันไม่ได้แน่ นาถูกกดดันรอบด้านทั้งจากทางตำรวจที่ต้องการให้เธออยู่เงียบๆ พวกเขาเคยบอกเธอว่าหากผมได้ออกจากคุกพวกเขาจะไม่รับรองความปลอดภัยหรือหาก ไม่อยากให้ผมเจอหนักก็ต้องอยู่เงียบๆ เธอเป็นห่วงผมมากที่กำลังอยู่ในคุก เธอยอมทิ้งลูกๆ เพื่อมาเฝ้าเยี่ยมและให้กำลังใจผม พอผมถามถึงลูกๆ เขาก็ไม่ให้ผมห่วงลูกขอให้ผมเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยไม่ว่าจะมีสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเธอจะไปสวดอ้อนวอน และบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ได้ตัวผมคืนมา เธอยังต้องรับความกดดันจากลูกๆ ที่รับปากไว้ว่าจะนำพ่อของพวกเขาคืนมาให้ได้แต่ทำทุกอย่างก็ไร้ความหมาย เธอต้องไปให้ความสำคัญกับลูกๆ เพิ่มขึ้น เธอพยายามขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีเพื่อเป็นค่าข้าวและค่าเทอมให้ลูกๆ เธอต้องประหยัดที่สุดจนแทบจะไม่น่าเชื่อเพราะครอบครัวเราไม่มีรายได้อีกแล้ว พี่น้องทีมงานประชาไทจะเข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของภรรยาผมเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่พวกเราต้องการคือเพียงแค่การได้กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันอีก ขอแค่ไปทำไร่ทำนาและอยู่อย่างพอเพียง พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แต่พวกเขาหาได้มีความเมตตาแก่พวกเราไม่ เขาไม่สงสารพวกเราเลย พวกเราก็เป็นคนเหมือนกันและเป็นคนไทย ในช่วงที่แย่ที่สุดผมเคยบอกกับภรรยาว่า “ผมไม่ไหวอีกแล้ว” และสั่งเสียถึงพ่อแม่หากจะไม่ได้พบกันอีก ภรรยาผมร้องไห้และเตือนสติผมว่า “หากไม่มีนุ้ย นาและลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร” มันทำให้ผมสู้ทนเพื่อจะมีชีวิตต่อไป เธอยังเคยพูดว่าถึงเธอจะอยู่นอกคุกแต่ก็ไม่ต่างกับการติดคุก ตราบใดที่ผมยังอยู่ในคุกเพราะเธออยู่ภายใต้แรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะจากลูกๆ ที่น่าสงสาร นาเป็นสิ่งมีค่าสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ เธอทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันและจะทำทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผม
5 นายสุวิชา ท่าค้อ (นุ้ย) อายุ 35 ปี ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรหากไม่ประสบเองก็จะไม่เข้าใจ มันเป็นเหมือนการฆ่าให้ตายไปครึ่งชีวิตหรือการทำให้ตายทั้งเป็นผมไม่อยากให้ ใครได้ลิ้มรสกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนผม เมื่อมีข่าวนักโทษแขวนคอตายในห้องขังผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติเพราะผมเคย ผ่านจุดนั้นมา และที่เกิดเหตุแต่ไม่เป็นข่าวก็มีมาก พวกที่อยู่ในคุกจะรู้ดี บางคนถูกตัดสินแค่หนึ่งปีครึ่งจากข้อหาลักทรัพย์แต่ยอมรับไม่ได้และเลือกที่ จะจบชีวิตตัวเองก็มี (แต่ไม่เป็นข่าว) มันคือจุดทดสอบจิตใจที่จะผ่านความทุกข์ไปได้อย่างไร ผมได้เอาความทุกข์นั้นมาใช้ประโยชน์ทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้ ตอนนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าทนไม่ได้แล้วจริงๆ จนต้องล่ำลาเมียหากจะไม่ได้พบกันอีก คิดว่าจะต้องกลับบ้านให้ได้ถึงจะเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณก็ต้องกลับบ้าน ความทุกข์ทำให้ผมคิดได้ หากคิดจะตายผมก็จะปฏิบัติธรรมให้ตายไปเลย และผมก็ไม่ผิดหวังเพราะผมได้เข้าไปสัมผัสธรรมะที่แท้จริง จนทำให้มองดูเรื่องทางโลกเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเลย ผมฝึกสมาธิอย่างหนักแบบเอาความตายเข้าแลก ฝึกหนักจนกระทั่งจิตเริ่มจะไม่เกาะติดกับร่างกาย และไม่สนใจความเป็นไปของร่างกาย, ความเป็นอยู่และเรื่องราวต่างๆ และผมได้เข้าไปสัมผัสอัปปะนาสมาธิในช่วงเดือนกันยายน สภาพจิตใจตอนนั้นถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิต (ไว้ขออธิบายโอกาสต่อไป) เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตัว) แต่ผมต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างหนักคือความห่วงต่อลูกๆ ทำให้จิตไม่นิ่งได้เต็มที่ คนที่ศึกษาเรื่องธรรมะจะเห็นตัวอย่างมากมายของเวรกรรม ธรรมะสอนให้ผมรู้จักแต่ได้ ผมอยู่ในคุกผมก็ได้กุศลและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ทำบาปอะไรเลยในแต่ละวัน ตราบใดที่พวกเขายังขังผมต่อไป คนที่เสียหายคือพวกเขาที่ทำบาปทำกรรมต่อผมและลูกเมีย เรื่องทางธรรมมักจะเดินสวนทางกับเรื่องทางโลก ทางธรรมคือการทำลายล้างกิเลส, ทำลายอัตตา, ทางโลกคือการแสวงหาความร่ำรวยหรือการสะสมกิเลสนั่นเอง คนที่ร่ำรวยก็จะมีอัตตามากขึ้นคู่กัน ยิ่งเรื่องอำนาจทางการเมืองยิ่งเป็นกิเลสที่หยาบที่สุดเพราะถึงกับจับขัง หรือฆ่ากันได้เลยดังที่เรากำลังเป็นกันอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับ ทางโลกแต่ก็ผมก็จะเดินบนทางธรรมเป็นทางเอก ผมสมหวังและจะไม่เสียดายกับชีวิตแล้วที่ได้เห็นธรรมในชาตินี้ หากไม่เห็นทุกข์ผมคงจะงมโง่อยู่กับกองกิเลสและคงจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิเลสมันจะปิดบังให้คนมืดบอดและจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ไม่มีอะไรมากทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา ชีวิตพวกเราทั้ง 5 อยู่ในอำนาจของเขา ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอก และไม่อยากให้ลูกเมียต้องไปขอบริจาคใครกินแต่พวกเราคงไม่มีทางเลือกที่ดี กว่านี้ และขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผม ลูกๆ ทั้งสามมีค่ามากสำหรับผมขอเพียงให้พวกเขาอยู่รอดสำหรับผมอะไรก็ได้เพราะผม เหมือนคนที่ตายไปแล้วไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรได้อีกแล้ว ผมต้องทำใจกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับผมให้ได้เพราะมันเป็นโลกธรรมแต่ก็ยัง เป็นห่วงพวกเด็กๆ ที่พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจธรรมะทำให้ความทุกข์ตกที่พวกเขาเต็มๆ โลกธรรม 8 คือธรรมที่อยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสพและมันกำลังเกิดขึ้นกับผม ลาภ (ผมทำงานมีรายได้ดี), เสื่อมลาภ (ล้มละลายสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง, ลูกเมียต้องใช้จ่ายเงินจากผู้มีเมตตาหรือจะเรียกว่าขอทานก็ไม่ผิดนัก), ยศ (ผมทำงานเป็น Senior Engineer ในบริษัทที่ดี), เสื่อมยศ (เป็นนักโทษคดีร้ายแรงหรือคนคุก), สรรเสริญ (ฝ่ายที่ชอบก็จะยกย่องเป็นธรรมดา), นินทา (ฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะด่าประณาม), สุข (มีชีวิตที่ดีและครอบครัวที่อบอุ่น), ทุกข์ (ต้องพลัดพรากจากลูกเมียและคิดที่จะปลิดชีพตัวเอง), พอผมเข้าใจธรรมะทำให้ผมปล่อยวางเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นธรรมชาติ คุณอานนท์ลองไปพิจารณาดูกันเองว่าท่านประสพกับโลกธรรมอย่างไรบ้างเพราะไม่มี ใครหนีพ้นหรอก เมื่อรู้แล้วก็อย่าไปทุกข์กับมัน ปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วดับไปตามกฎไตรลักษณ์ อย่าไปทุกข์กับมันมากจนถึงขั้นต้องเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเพราะมันคือ ธรรมชาติของโลก!
ด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
สุวิชา ท่าค้อ
หมายเหตุ
1. ประชาไทสงวนชื่อจริงของลูกๆ ทั้ง 3 ของสุวิชา รวมถึงชื่อโรงเรียนที่ระบุในจดหมาย
2. ประชาไทสะกดคำตามต้นฉบับของสุวิชา

http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27386