ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

"Green GDP : อนาคตประเทศไทย"

วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6991 ข่าวสดรายวัน


ปตท.-เอสซีจีแนะธุรกิจ รับมือวิกฤตสิ่งแวดล้อม


คอลัมน์ รายงานพิเศษ




ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จากปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ล่าสุด เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีที่ประเทศเฮติ อุณหภูมิโลกที่กำลังสูงขึ้นจนออสเตรเลียร้อนที่สุดในรอบ 100 ปี และยุโรปหนาวรุนแรงในรอบ 30 ปี เป็นต้น

ทางสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จึงได้จัดงานสัมมนาเรื่อง "Green GDP : อนาคตประเทศไทย" เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และนักธุรกิจไทยหันมาให้ความสำคัญและตื่นตัวในการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโต ทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ทุกประเทศทั่วโลกตื่นตัวเกี่ยวกับความจำเป็น ในการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการกำหนดคำนิยามที่หลากหลายของคำว่า Green GDP ที่ล้วนมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงอนุรักษ์

ปตท.มองว่า Green Economy คือเศรษฐกิจที่เน้นลดการใช้พลัง งาน ลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิ ภาพในการใช้พลังงาน และนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้

ส่วน Green Business คือธุรกิจที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เป็นเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ ยาว รวมทั้งส่งเสริมการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืนตลอดกระบวนการผลิต การตลาด และการบริการ เป็นต้น

ในส่วนของ ปตท. ที่ผ่านมาได้จัดทำยุทธ ศาสตร์ด้านพลังงานควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 บนแนวคิดปรัชญาเศรษฐิจพอเพียง เช่น การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา ในการผลิตไฟฟ้า การผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์จนถึงระดับอี 85 และมีแผนการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม 44 โครง การวงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท ในระยะ 5 ปี (50-54) เพื่อลดมลพิษ เป็นต้น

ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน อนุรักษ์สิ่งแวด ล้อม โดยภาครัฐต้องส่งเสริมการลดมลพิษ สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลดการปล่อยมลพิษ ออกกฎหมายที่มีหน่วยงานติดตามดูแล และร่วมมือกันในระดับโลกกำหนดรูปแบบการบริโภคที่สมดุล ทำให้ธรรมชาติค้ำจุนโลกได้ในระยะยาว

ส่วนภาคเอกชนต้องดูแลสิ่งแวด ล้อม ต้อง จัดโครงการลดมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสังคมและใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า มุ่งเน้นการใช้บริการและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่เครือซีเมนต์ไทย (เอสซีจี) กล่าวว่า การที่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญเรื่อง Green Trend ถือเป็นโอกาสและความท้าทายใหม่ของไทยที่กลายเป็นภาระหน้าที่ที่ทุกฝ่ายทั้ง ภาค รัฐ เอกชน และประชาชนต้องให้ความสำคัญและดูแลเอาใจใส่ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีความสมดุล

เอสซีจีเองปรับกระบวนการผลิต ผลิตปูนซีเมนต์ใหม่ โดยใช้พลังงานจากลมร้อนเหลือใช้ การผลิตผงซักฟอกสำหรับน้ำเย็น ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้พลังงาน ตลอดจนรณรงค์ให้พนักงานเอสซีจีมีส่วนร่วมในการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม

แนว คิดการดำเนินธุรกิจจาก 2 บิ๊กใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมไทย คงจะเป็นแนวทางที่ดีให้บริษัทอื่นๆ นำไปปรับใช้เพื่อรับมือกระแสธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป


หน้า 8
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOakU1TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB4T1E9PQ==

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น