| |||||||
| |||||||
|
ติดต่อ คุณอัจฉรา 086-6282817 หรือร่วมบริจาค ธ.กรุงไทย เลขบัญชี 031-0-03432-9 หรือ ธ.กรุงเทพ เลขบัญชี 145-5-24762-5 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ต้องใช้จ่าย เดือนละ 1 แสนบาท โดยเป็นค่าใช้จ่าย ใน 3 โครงการ ที่ดูแล คนเร่ร่อนไร้บ้าน...พนักงานบริการ ...เด็กและเยาวชนในชนบทกลุ่มต่าง ๆ /"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่" (วินสตัน เชอร์ชิลล์).
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
จัตุรัสทราฟัลการ์กับการแก้ปัญหาแบบสนามหลวง
การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
by : รศ.ดร.ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช / เสมา มีสมบูรณ์ / ปรมินทร์ สิริโชดก |
การวิจัยเรื่อง "การบริหารสังคมกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ได้คัดเลือกชุมชนตัวอย่างที่ศึกษาโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกชุมชนที่มีผลงานจัดกิจกรรมหรือบริการสังคม ที่ทำให้เกิดชุมชนเข้มแข็งเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป และคัดเลือกจากประเภทชุมชนที่กรุงเทพมหานครแบ่งชุมชนเมืองออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ชุมชนแออัด ชุมชนชานเมือง ชุมชนเมือง เคหะชุมชน และชุมชนหมู่บ้านจัดสรร ประเภทละ 1 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 5 ชุมชน ดังนี้
1. ชุมชนซอยสวนเงิน เขตราชเทวี (ชุมชนแออัด)
2. ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน (ชุมชนชานเมือง)
3. ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ เขตปทุมวัน (โครงการบ้านมั่นคง)
4. ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อพัฒนา เขตทวีวัฒนา (หมู่บ้านจัดสรรของเอกชน)
5. ชุมชนเมืองทองธานี (อาคารชุด / คอนโดมิเนียม) จ.นนทบุรี
ผู้ศึกษา ใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ และใช้เทคนิคการสังเกต การสัมภาษณ์พูดคุย และการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของชุมชน การวิเคราะห์ สังเคราะห์สรุปบทเรียน กำหนดวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อศึกษา 1) วิธีคิดของชาวชุมชนในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน 2) วิธีปฏิบัติในการบริหารกิจกรรมหรือบริการสังคม และ 3) สังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการบริหารสังคมที่ทำให้ชุมชนเมืองมีความเข้มแข็ง และ ตั้งประเด็นคำถามในวิจัย 7 ประเด็น คือ เหตุปัจจัยที่ทำให้ชุมชนมารวมตัวกันคืออะไร, ชุมชนมีวิธีคิดในการจัดการกับปัญหาการอยู่ร่วมกันให้เกิดความรู้รักสามัคคี กันได้อย่างไร, การเลือกจัดกิจกรรมหรือบริการสังคมเพื่อสร้างสวัสดิการชุมชนและพัฒนาชุมชน ตั้งอยู่บนฐานคิดประการใดบ้าง, กิจกรรมหรือบริการสังคมที่ชุมชนจัดขึ้นเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนหรือ มีความแปลกใหม่และถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมได้มากน้อยเพียงใด, อะไรเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของกิจกรรมหรือบริการสังคมนั้นทั้งในแง่ผลผลิต และผลลัพธ์ และ ความเข้มแข็งของชุมชนจะมีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด อะไรคือปัจจัยชี้ขาด ใช้ระยะเวลาศึกษารวม 1 ปี 7 เดือน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2550 สรุปผลดังนี้
1. ชุมชนซอยสวนเงิน เป็น ชุมชนแออัด ตั้งอยู่บนพื้นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในพื้นที่เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นชุมชนขนาดเล็ก มีพื้นที่ 15 ไร่มีประชากร 905 คน เป็นชุมชนเก่าแก่นับเป็นเวลาประมาณ 100 ปี ผู้อยู่อาศัยหนีร้อนมาพึ่งเย็นเพราะบ้านถูกไฟไหม้ ถูกไล่ที่ หรืออพยพมาจากต่างจังหวัด มาอาศัยอยู่ที่นี่แบบบุกรุกเพราะความไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นที่ดินว่างเปล่า ต่อมาจึงรับรู้ว่าเป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งภายหลังได้เข้ามาจัดระเบียบที่อยู่อาศัยและเก็บค่าเช่าในราคาถูกโดย กำหนดเงื่อนไขให้พัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่ดี ถูกสุขลักษณะ และมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ ชาวชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพร้อยพวงมาลัยขายบนท้องถนน ต่อมามีกฎหมายควบคุมห้ามขาย ผู้ฝ่าฝีนจะถูกจับปรับ เสียค่าปรับ 500 บาท ชาวชุมชนก็ยอมเสียค่าปรับแล้วย้อนกลับมาขายใหม่ โดยถือว่า "เป็นอาชีพสุจริตที่ผิดกฎหมาย" บ่งบอกถึง ความดื้อแพ่งในการทำมาหากิน ส่วนปัญหาที่อยู่อาศัย ชาวชุมชนคลี่คลายปัญหาด้วยตนเอง โดยทำความเข้าใจได้ด้วยเหตุผลและความถูกต้อง จากความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานปปส. สสส. เป็นต้น มีการจัดตั้งกลุ่มประชาชนต่างๆ เช่น กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มอาสาสมัคร ปปส. สนับสนุนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างหลากหลาย เช่น ห้องสมุดชุมชน สนามเด็กเล่นปลอดภัย การฝึกอาชีพใหม่ๆ เช่น ทำสมุนไพร นวดแผนโบราณ รับจ้างปักเลื่อมเสื้อยืด ฯลฯ โดยได้รับความร่วมมือชาวชุมชนและขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการชุมชนซอยสวนเงิน
2. ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เป็น ชุมชนชานเมือง ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็นองค์กรรวมของชุมชนต่างๆ ในเขตตลิ่งชัน 27 ชุมชน มีประชากร ประมาณ 104,000 คน ประชาคมเกิดขึ้นตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัยพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่ต้องการสร้างตลาดน้ำในกรุงเทพมหานคร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์/ อนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสให้เกษตรที่ยังทำอาชีพปลูกพืช ผัก ผลไม้ ได้มีตลาดน้ำเป็นแหล่งค้าขายในวันหยุดราชการ และให้ชาวกรุงเทพมหานคร ได้ไปเที่ยวตลาดน้ำที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อลดรายจ่าย ได้มอบนโยบายให้สำนักงานเขตตลิ่งชันไปดำเนินการ จึงได้จัดให้มีการรวมตัวของคณะกรรมการชุมชนเป็นประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชันและ เลือกตั้งคณะกรรมการประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน จากคณะกรรมการชุมชนทั้งหมด มีทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการตลาดน้ำตลิ่งชัน สำนักงานเขตตลิ่งชัน เป็นผู้กำกับดูแลเชิงนโยบายอยู่ห่างๆ พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อได้รับการร้องขอ กิจกรรมและบริการที่ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชันจัดขึ้น คือ การค้าขายอาหารคาว หวาน ขนมไทยๆ พืช ผัก ผลไม้จากสวน บนแพริมน้ำและให้ชาวบ้านพายเรือมาขายที่แพ มีการจัดเรือท่องเที่ยวตามสวนเกษตร และวัดต่างๆ มีการร้องเพลงและการเล่นของประชาชนบนเวทีประชาคมที่ตั้งอยู่ในบริเวณตลาดน้ำ มีบริการนวดแผนโบราณที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในละแวกมาขายบริการนวด โดยคณะกรรมการประชาคมฯจัดอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทั้งหมดโดยจัดสรร ผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม นำมาเข้ากองทุนตลาดน้ำตลิ่งชันไว้ใช้ในการบริหารงานและช่วยเหลือผู้ค้าที่ เดือดร้อนโดยอนุมัติของคณะกรรมการประชาคมฯ มีการจัดกิจกรรมตามวันสำคัญๆ เช่นวันปีใหม่ สงกรานต์ วันเด็ก วันวิสาขบูชา เป็นต้น ทำให้ชาวชุมชนตลิ่งชันมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศน์พร้อมๆ กัน ได้ซื้อหาสินค้าดีราคาถูกเพราะไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผู้ค้าขายเพิ่มรายได้ และผู้ซื้อลดรายจ่าย ได้ระดับหนึ่ง
3. ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปทุมวัน ในโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของรัฐบาล (สมัย พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี) โดย หลักการมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ร่วมคิดรูปแบบบ้าน ร่วมก่อสร้างบ้าน ร่วมคัดเลือกและกำหนดเกณฑ์ในการเลือกผู้มีสิทธิเข้าอยู่อาศัย ร่วมติดตามการผ่อนชำระเงินค่าเช่าซื้อบ้านให้กับการเคหะแห่งชาติและสถาบัน พัฒนาองค์กรชุมชน ที่ปล่อยกู้ผ่านมาทางสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นนิติบุคคลของชุมชนและสามารถเป็นตัวแทนลงนามทำสัญญากู้เงินแล้วนำมา ปล่อยกู้ให้กับสมาชิกสหกรณ์ ในการสร้างบ้านมั่นคง หน่วยละ 200,000 บาท ผ่อนส่งเดือนละ 190 บาท กระบวนการจัดการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ประสบความสำเร็จในการทำให้ชาวชุมชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเพราะเป็นที่ดินของสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ไม่มีนโยบายขายแต่ให้เช่า และมีนโยบายด้านการดูแล รักษา และจัดประโยชน์
4. ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อพัฒนา เป็น หมู่บ้านจัดสรรในโครงการของบริษัทเอกชน ตั้งอยู่ตรงข้ามพุทธมณฑล ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ระยะแรกในการเข้าอยู่อาศัย เป็นชุมชนชานเมืองที่ค่อนข้างไกลและลำบากในการเดินทางเพราะรถประจำทางมีน้อย ภายในหมู่บ้านประสบปัญหาเรื่องการวางท่อน้ำประปาไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง ไม่สามารถตอบสนองตามความต้องการที่จำเป็นของผู้อยู่อาศัย จนถึงขั้นเกิดการรวมตัวกันเรียกร้องให้เจ้าของโครงการกระทำการตามสัญญาซื้อ ขายเป็นผลสำเร็จด้วยดี ตลอดจนต่อสู้ทางกฎหมายให้เจ้าของโครงการจัดพื้นที่ส่วนกลางเป็นสโมสรและสนาม เด็กเล่นตามสัญญาซื้อขาย ผู้นำและแกนนำชุมชนตระหนักในการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านจึงเกิด ความคิดจัดตั้งเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน ดำเนินกิจกรรมและบริการต่างๆเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีความรักชุมชนและช่วยกัน พัฒนาชุมชน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้มีความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านพัฒนาดีเด่น มีการประกอบกิจกรรมมากมาย เช่น จัดตั้งวงดนตรีไทยของเด็กและเยาวชน ลานกีฬา ชมรมผู้สูงอายุ กลุ่มอาชีพ OTOP การออกกำลังกาย แอโรบิค ไทเก็ก เป็นต้น จนถึงระดับของการสร้างนวัตกรรมทางสังคมให้กับหมู่บ้าน โดยจัดงานสังสรรค์ประจำปีในช่วงวันเด็กและปีใหม่ และ เป็นการจัดหาทุนเข้ากองทุนพัฒนาหมู่บ้าน ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกในหมู่บ้านและจัดชุดการเล่นมาแสดง ทุกกลุ่มวัยตั้งแต่กลุ่มเด็กจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เสริมสร้างความรู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้น มีความรู้ รัก สามัคคีกัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักด้านความเข้มแข็งของชุมชนและเป็นพลังสร้างสรรค์พัฒนา ชุมชนยั่งยืน
5. ชุมชนอาคารชุด C1 / คอนโดมิเนียมเมืองทองธานี ตั้ง อยู่ที่ปริมณฑล อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นอาคารชุดขนาดใหญ่มาก มีจำนวนห้องชุด 160 หน่วย เป็นอาคารสูง 16 ชั้น แต่มีผู้อยู่อาศัยประมาณร้อยละ 40 บริษัท MSM เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในการบริหารจัดการอาคารชุด จึงพยายามลดต้นทุนในการบริหารงานโดยใช้เงื่อนเวลาล่าช้า เช่น การปรับปรุงเรื่องการดูแลความสะอาดของพื้นที่ส่วนกลาง ความมั่นคงปลอดภัยในการใช้ลิฟท์ภายในตัวอาคารที่มีความจำเป็นมาก สำหรับผู้อยู่อาศัย จึงทำให้ผู้อยู่อาศัยประสบความเดือดร้อนและเรียกร้องให้ผู้จัดการประจำตึก เร่งรับผิดชอบ ผู้จัดการประจำตึกก็ได้ทำหน้าที่ เร่งรัดและติดตามผล แต่บังเอิญขัดกับนโยบายบริษัท MSMที่เข้าข้างผู้อยู่อาศัยมากเกินไปจนเกือบถูกเลิกจ้าง คณะกรรมการควบคุมอาคารที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกผู้ อยู่อาศัยในอาคาร จึงเข้าไกล่เกลี่ยและเจรจากับบริษัทMSMได้สำเร็จ โดยบริษัทฯได้แก้ไขข้อบกพร่องในการดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกของอาคารชุดตาม ข้อเรียกร้องของผู้อยู่อาศัยและยังคงจ้างผู้จัดการประจำตึกคนเดิมต่อไป สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติผู้อยู่อาศัยและบริษัทฯ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ให้ความร่วมมือและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยด้วยความมีเหตุมีผล และยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องตามกฎหมายเป็นประการแรก และส่งเสริมการจัดกิจกรรมและบริการต่างๆ เพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกันทั้ง การจัดกิจกรรมสำคัญตามธรรมเนียมประเพณี และตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมและประชาธิปไตย
ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
จากการจัดกิจกรรมหรือบริการในชุมชนที่ศึกษา 5 แห่ง พบว่า มีเหตุปัจจัยร่วมในการกระบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง พอสรุปได้ดังนี้
1. สภาพปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน เป็นเหตุที่ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน เป็นพลังขับเคลื่อนในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ในรูปแบบของ "กลุ่มช่วยตัวเอง" (Self - Help Group) เนื่องจากการใช้บริการจากหน่วยงานภาครัฐมีความล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นที่มีข้อบังคับให้ต้องติดต่อประสานงาน ชาวชุมชนเหล่านั้นแม้ จะไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แต่ก็มาพูดคุยกัน หารือหาทางออกของปัญหาร่วมกัน ในการจัดการกับปัญหาชุมชนใช้หลักตรรกะ (Logic) หรือ ความเป็นเหตุเป็นผล (Causes & Effects) เป็นพื้นฐานโดยตั้งอยู่บนฐานความคิดที่เป็นความจริง (Reality) คำนึงถึงหลักศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (Human Dignity), หลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights) หลักประชาธิปไตย หลักความถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมืองและกติกาของสังคม (Legal Right & Social Rights) ทั้งนี้เพราะปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในชุมชน หลายกรณีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูแลไม่ทั่วถึง หรือล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ชาวชุมชนจึงไม่อาจรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ต้องช่วยตนเองเป็นการเฉพาะ หน้าก่อน เพราะปัญหานั้นสร้างความเดือดร้อนและขัดขวางต่อการดำเนินชีวิตปกติสุข จึงเป็นแรงผลัก (Drivem) ที่ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกันในแบบจัดตั้ง "กลุ่มช่วยตัวเอง" (Self - Help Group)
ปัญหาของชุมชนเมืองในการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาพที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัญหาความจำเป็นขั้นพื้นฐาน(Basic Needs) ด้านความมั่นคงในชีวิตมนุษย์ ที่ทุกคนต้องมีบ้านพักอาศัย ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนเมือง แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ
1.1 ปัญหาที่อยู่อาศัยซึ่งชาวชุมชนประสบก่อนย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชน ได้แก่ชุมชนแออัดซอยสวนเงิน และชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ทั้งสองชุมชนมีลักษณะคล้ายกันในที่มาของการมีปัญหาที่อยู่อาศัย คือ บุกรุกที่ดิน, ถูกไล่ที่, อพยพมาจากที่อื่น / มาจากต่างจังหวัด, เข้ามาหางานทำมาอยู่กับเพื่อนหรือญาติพี่น้อง, ไฟไหม้บ้านไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น 1.2 ปัญหาที่อยู่อาศัยซึ่งชาวชุมชนประสบภายหลังจากเข้ามาอยู่ในชุมชนแล้ว ได้แก่ ชุมชนหมู่บ้านจัดสรร คือชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อ และชุมชนอาคารชุดเมืองทองธานี C1 ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งในการที่เจ้าของโครงการไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย ผู้อยู่อาศัยเป็นมีการศึกษาสูง มีความรู้ทางกฎหมาย และ รวมตัวเรียกร้องความเป็นธรรม เป็นผลสำเร็จ ต่อมากลุ่มผู้เรียกร้องจึงพัฒนาเป็นกลุ่มแกนนำ และ ได้รับการยอมรับเป็นคณะกรรมการชุมชน มีการจัดกิจกรรมหรือบริการตามความต้องการของชาวชุมชน เป็นครั้งเป็นคราวในโอกาสสำคัญ หรือ จัดทำเป็นธรรมเนียมประเพณี ประจำปีของชุมชน ทำให้เกิดความ รู้ รัก สามัคคี ซึ่งเป็นแกนหลักของชุมชนเข้มแข็ง |
2. ภาวะผู้นำ
สภาพปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน เป็น "ตัวเร่ง/ตัวกระตุ้น" (Catalyst) ให้ชาวชุมชนค้นหา "ผู้นำตามธรรมชาติ" (Natural Leader) หมายถึง บุคคลที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น (Charisma) เป็นผู้นำทางความคิดของคนในชุมชน สามารถมมองเห็นภาพแห่งอนาคตและสามารถสื่อสาร "ขายและขยาย" ความคิด ความเชื่อ ปรัชญาของตนให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รู้ได้เห็น มีการโน้มน้าวชักจูงให้เห็นความสำคัญ ความเห็นด้วยอย่างได้ผล สร้างความรู้สึกผูกพัน น่าสนใจ น่าท้าทาย กับวิสัยทัศน์นั้น อันจะนำไปสู่ การปฏิบัติโดยการเพิ่มอำนาจ (Action through Empowerment) (วีระวัฒน์ ปันนิตามัย, 2544, 128-129) ผู้นำตามธรรมชาติ เป็นบุคคลที่อยู่ในชุมชนนั่นเอง เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจถึงภาวะความกดดัน และหากผู้นั้นมีวิสัยทัศน์ (Vision) คือสามารถมองเห็นภาพในอนาคต หรือมีวิสัยทัศน์ ประกอบกับมีความรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ด้วยความสามารถ/ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตน จะทำให้เป็นผู้นำที่มีพลังอำนาจบารมี (power)ที่ชาวชุมชนเชื่อถือ ยิ่งถ้ามีความกล้าคิด กล้าทำแบบมีความรับผิดชอบต่อ ส่วนรวม ก็ยิ่งจะทำให้ชาวชุมชนศรัทธับถือและเข้าร่วมกระบวนการจัดการกับปัญหาของ ชุมชนตามแนวทางที่ผู้นำเสนอแนะ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้นำชุมชน ต้องมีวิสัยทัศน์ และสามารถบริหารวิสัยทัศน์ ด้วยการมีจิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness ) และ ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility)
ผู้นำตามธรรมชาติมีอยู่ในทุกชุมชน นับว่าเป็น "ทุนมนุษย์" (Human Capital) อันยิ่งใหญ่สำหรับการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย จึงต้องค้นหาผู้นำตามธรรมชาติของชุมชน ให้พบ หากภาวะผู้นำตามธรรมชาติดังกล่าวบูรณาการอยู่ในตัวบุคคลที่ได้รับการแต่ง ตั้งเป็น ผู้นำแบบทางการ (Formal Leader) เช่น คณะกรรมการชุมชน ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ผู้นำคนนั้นมีฐานะและศักยภาพสูงขึ้นในการจัดการกับปัญหาของชุมชน และพบว่า ลักษณะสำคัญของผู้นำชุมชนที่ได้รับการยอมรับจากชาวชุมชน คือบุคคลที่มี ความซื่อสัตย์ จริงใจ มีความเสมอภาค และให้ความเป็นธรรม จึงจะสามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Leader) ได้สำเร็จ
ผู้นำชุมชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดในการชักจูงและนำพาชาวชุมชนไปสู่การ จัดการกับปัญหาชุมชนได้สำเร็จตามที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ร่วมกัน ซึ่งต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน และความเป็นประชาธิปไตย เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย
3. วิธีคิดในการจัดการกับปัญหาของชุมชน
พบว่า ชาวชุมชนจะรวมตัวกันเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยที่ "คนไทยจะรวมตัวกันเมื่อภัยมา" และหากได้ผู้นำที่ดีก็จะสามารถจัดการกับปัญหาได้ แต่ถ้าขาดผู้นำที่ดีชุมชนก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาชุมชนได้สำเร็จ ดังนั้น ในการจัดการกับปัญหาชุมชน จึงควรให้ความสนใจกับวิธีคิดของผู้นำชุมชน
ในที่นี้ พบว่า วิธีคิดของชุมชนในการจัดการกับปัญหาชุมชนอันดับแรก คือ "การคิดเอาตัวรอด" (Survival) ก่อน โดยค้นหาต้นเหตุแห่งปัญหาและลงมือกระทำการบางอย่างตามประสบการณ์ของชาวชุมชน โดยใช้หลักตรรกะ (Logic) แต่ความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของชุมชนและผู้นำชุมชน รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วม ในวิธีการจัดการกับปัญหาชุมชนอย่างถูกวิธี ซึ่งต้องไม่ขัดแย้งกับกติกาของสังคม เช่น การจัดการกับปัญหาที่อยู่อาศัย ด้วยกระบวนการเจรจากับเจ้าของโครงการ/ เจ้าของที่ดิน/ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามสัญญาซื้อขาย เช่น ที่หมู่บ้านจัดสรรร่วมเกื้อพัฒนา การขอความร่วมมือหรือความอนุเคราะห์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการกู้ยืม เงินสร้างบ้าน และการปันส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Sharing) ของชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ในโครงการบ้านมั่นคง การโอนอ่อนผ่อนตาม/ เคารพกติกาของสังคม/ ปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีถูกห้ามขายพวงมาลัยบนท้องถนน โดยยอมให้จับปรับ แต่ก็กลับมาขายอีก เพราะยังไม่สามารถหาอาชีพอื่นทดแทนที่มีรายได้ดีเช่นนี้ และการบังคับใช้กฎหมายไม่เคร่งครัด ดังเช่นที่ชุมชนซอยสวนเงิน อย่างไรก็ตามพบว่าหลักคิดของชาวชุมชนที่นำไปใช้ในการต่อสู้ หรือจัดการกับปัญหา คือ หลักศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) หลักความถูกต้อง เป็นธรรม(Social Justice) หลักการมีส่วนร่วมและการเพิ่มพลังอำนาจ (People Participation & Empowerment ) หลักแห่งความเป็นจริง (Reality) และหลักการแก้ปัญหาแบบสันติวิธี (Peaceful Solving Problems) ที่บูรณาการอยู่ในกิจกรรมหรือบริการที่ชุมชนจัดให้มีขึ้น ความสำเร็จในการจัดการกับปัญหาชุมชน ขึ้นอยู่กับ "จิตสำนึกสาธารณะของชาวชุมชน" (Community Conciousness) ที่ควรได้รับการส่งเสริมให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มพลังของ "การ รู้ รัก สามัคคี" ซึ่งจะพัฒนาเป็นพลังร่วมของชาวชุมชน (Synergy) ที่จะทำให้เกิดชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น
4. วิธีปฏิบัติในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ขึ้นอยู่กับบริบทของปัญหา ภาวะผู้นำชุมชน วิสัยทัศน์ผู้นำ การบริหารวิสัยทัศน์ และการบูรณาการความคิดร่วมของชาวชุมชน ในการจัดการกับปัญหาของชุมชนอย่างถูกวิธีตามความเป็นจริง
การกระทำหรือการจัดกิจกรรม/บริการใดๆเพื่อผลประโยชน์ของชุมชน มิใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อาจผ่านตัวแทนหรือแกนนำของชุมชนในการจัดการกับปัญหาของชุมชน ซึ่งความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับ ระดับการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน และ การสื่อสารแบบสองทาง (Two -Way Communication) ระหว่างผู้นำชุมชนและชาวชุมชน จนเป็นที่เข้าใจถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ในการศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า บริบทของสภาวะแวดล้อมที่เป็นปัจจัยภายนอกชุมชน ทำให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน ร่วมกันคิดและจัดกิจกรรมหรือบริการต่างๆ เช่นที่ประชาคมตลาดน้ำตลิ่งชัน เกิดขึ้นตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน โดยใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ในการจัดสวัสดิการสังคม (ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช, 2545 ) และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตลาดน้ำตลิ่งชันเป็นแหล่งท่องเที่ยวและส่งเสริม ให้ชาวชุมชนเขตตลิ่งชันมีโอกาสประกอบอาชีพเพิ่มรายได้จากการประกอบอาชีพค้า ขาย ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวัน นักขัตฤกษ์
จาก ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมืองที่เป็นข้อค้นพบจากการศึกษาดังกล่าว สามารถแสดงให้เห็นดังแผนภาพที่ 1
แผนภาพที่ 1
ปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
จากแผนภาพข้างบนนี้ แสดงให้เห็นถึง "วิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" จาก 5 ชุมชนที่ศึกษา พบว่า การบริหารสังคม หรือ การสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลงในการจัดการกับปัญหาเป้าหมายของชุมชนนั้น จะเริ่มต้นจาก "คนในชุมชน" ซึ่งเป็นแก่นกลางของชุมชน ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน จะเป็นปัญหาที่ขัดขวางต่อการดำเนินชีวิตปกติสุขของชาวชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ ปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาการมีงานทำและการมีรายได้เพียงพอแก่การดำเนินชีวิต จะได้รับความสนใจจากชาวชุมชนและเป็นแรงผลักดันให้ชาวชุมชนมารวมตัวกัน ทั้งนี้จะต้องมี "คนชักใยแมงมุม" (Spider Network) หรือ "ผู้นำ" ทำหน้าที่เป็นผู้นำความคิดและสื่อสารความคิด ให้ชาวชุมชนเข้าใจ และบริหารวิสัยทัศน์ร่วมกัน กำหนดเป็นแผนและนโยบายของชุมชนในการจัดการกับปัญหา และจัดกิจกรรม/บริการที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาของชุมชนอย่างเป็นระบบ อาทิ การจัดตั้งคณะกรรมการชุมชน คณะอนุกรรมการ กลุ่มงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามแผนงานและโครงการ ประสานความร่วมมือกับชาวชุมชน ในการปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ทำงานอย่างเป็นกระบวนการหรือขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การกำหนดประเด็นปัญหา 2) การวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุที่ตรงกับความเป็นจริง 3) การวางแผนการดำเนินงาน เช่น การทำแผนแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน 4) การดำเนินงานตามแผนงานและโครงการ 5) ติดตามประเมินผลสำเร็จตามเป้าหมายของการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ในท้ายที่สุดคือเพื่อการพัฒนาคนและสังคมแบบยั่งยืน โดยพิจารณาจากตัวชี้วัด คือ ความสามารถของชุมชนในการจัดการตนเองจนถึงระดับการพึ่งตนเองได้ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นจะทักษะชีวิตในการจัดการกับปัญหาที่ตนเอง ครอบครัวและชุมชนในโอกาสต่อไป การมีจิตสำนึกสาธารณะที่ร่วมกันแก้ปัญหาของชุมชนด้วยทางออกแบบสันติวิธี ซึ่งแสดงให้เห็นดัง "รูปวงล้อการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ดังนี้
แผนภาพที่ 2
รูปแบบการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
จากการสรุปบทเรียนรู้ (Lesson Learned) ในการวิจัยเรื่องการบริหารสังคมกับความเข้มแข็งของชุมชนเมือง 5 ชุมชน ทำให้มองเห็นตัวอย่างที่ดีและปัจจัยสำคัญๆในการนำมาใช้ประโยชน์ต่อการสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชนเมืองแห่งอื่นๆได้ไม่มากก็น้อย โดยมีข้อเสนอแนะต่อวิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง ดังต่อไปนี้
ข้อเสนอแนะต่อวิธีการบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง
1. การบริหารสังคมของชุมชนเมืองมีปัจจัยชี้วัดความสำเร็จอยู่ที่ตัวแปรในเรื่อง คน, สภาพปัญหาของชุมชน, วิธีบริหารจัดการที่โปร่งใส, การมีส่วนร่วมจากชาวชุมชน และ การสร้างพลังชุมชน จึงควรสร้างกระบวนการพัฒนาชาวชุมชน ด้วยการเสริมแรงด้านความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในบริบทของปัญหาชุมชน และสร้าง การ รู้ รัก สามัคคี ระหว่างชาวชุมชน เพื่อเป็นพลังร่วมของชาวชุมชน ผู้นำชุมชน แกนนำชุมชน ด้วยการมีจิตสำนึกสาธารณะและการทำงานร่วมกันแบบธรรมาภิบาล 2. การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง ควรให้ความสำคัญแก่การพัฒนาคนในชุมชน โดยเริ่มจากค้นหาผู้นำธรรมชาติ ซึ่งเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญ แล้วขยายผลออกไปสู่คนรอบข้าง หรือรวบรวมเป็นแกนนำชุมชน สร้างพลังชุมชน โดยการเสริมสร้างความรู้เท่าทันในสถานการณ์ของปัญหาชุมชน 3. ปัจจัยแวดล้อมภายนอกชุมชน มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชน ชาวชุมชนต้องเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี สามารถปรับตัวได้อย่างทันต่อสถานการณ์ จึงต้องเรียนรู้การปรับวิธีคิดและวิธีปฏิบัติตนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้อย่างเป็นปกติสุข 4. รัฐยังคงมีพันธกิจในการดูแลประชาชนให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข รัฐจึงต้องแสวงหาภาคีการพัฒนาเป็นหุ้นส่วนในการบริหารสังคมแบบองค์รวมเพื่อ นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของการพัฒนาสังคม 5. ผู้นำชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน จึงมีควรกำหนดภาพลักษณ์ของผู้นำชุมชน/ แกนนำชุมชน/ คณะกรรมการชุนชน ที่พึงปรารถนาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคนและผู้นำชุมชน ซึ่งอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิคสำนึกสาธารณะ มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ ซื่อสัตย์ มีความจริงใจในการทำงานเพื่อชุมชน มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีวิสัยทัศน์ และเรียนรู้ในการบริหารวิสัยทัศน์ เพื่อจูงใจให้ชาวชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมหรือบริการต่างๆเพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน |
รศ.ดร.ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
อาจารย์ประจำ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เสมา มีสมบูรณ์
ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารสังคม ( มบส./ SAF)
ปรมินทร์ สิริโชดก
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กรทางสังคม แห่ง มูลนิธิเพื่อการบริหารสังคม
บทความวิชาการจากรายงานการวิจัยเรื่อง "การบริหารสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง" ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2549, 15 มกราคม 2551
http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=656
JasMin Jaja ขอความอนุเคราะห์ เพื่อผู้ยากไร้
ธนาคารกรุงไทย สาขาปิ่น เกล้า
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสร
เลขที่บัญชี 031 – 0 – 03432 – 9
ธนาคารกสิกรไทย สาขาปิ่นเกล้า
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสร
เลขที่บัญชี 706-2-33411-2
ธนาคารกรุงเทพ สาขามีนบุรี
ชื่อบัญชี สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสร
เลขที่บัญชี 145-5-24762-5
ใครจะช่วยสนับสนุน ก็ โอนเงินมาได้ตามบัญชีข้างบน
หมายเลขโทรสาร 0-2914-5146 เพื่อจัดส่งใบเสร็จรับเงินก
ผู้ได้รับผลกระทบจาก การปิดสนามหลวง
กลุ่มผู้ค้าแผงลอยในสนามหลวงและปริมณฑล 1,700 แผง x สมาชิกในครอบครัว 3 คน = 5,100 คน
กลุ่มพนักงานบริการ(หญิงขายบริการ)ที่มีครอบครัวที่ตองรับผิดชอบ 400 คน x สมาชิกฯ 3 คน = 1,200 คน
กลุ่มหมอนวดและหมอดูในสนามหลวง 500 คน x สมาชิกในครอบครัว 3 คน = 1,500 คน
คนเร่ร่อนไร้บ้านผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ 600 คน
จำนวนคนที่ได้รับความเดือนร้อน ขั้นต่ำ คือ 8,400 คน แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจริง ๆ การปิดสนามหลวงเพื่อปรับปรุงรภูมิทัศน์ ในครั้งนี้จะมีผู้ได้ผลกระทบ จะมีไม่น้อยกว่า 10,000 คน อย่ามองเพียงตัวเลขว่าเพียงหยิบมือ เพราะ คน 10,000 คน คือสัญญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะ ยังมีคนยากไร้ ยากจน ที่ไม่มีแม้โอกาสจะมาพักอาศัย หรือ ขายของ ทำมาหากินที่ สนามหลวง
(ไขมัน)เปลว สีเงิน เสร่อแสดงความเห็นเรื่อง ความกล้าหาญของการปิดสนามหลวง แบบไม่รู้เส้นสนกลใน ของการ ผลาญงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง 180 ล้านบาท และงบ ปรับปรุงเกาะรัตนโกสินทร์อีก นับพันล้านบาท ?? หาก (ไขมัน)เปลว สีเงิน มองโลกแคบ แบบนี้ ก็จะไม่สามารถ ยืดอกได้ว่า เป็นผู้มี อิสระทางความคิด ตามที่ประกาศไว้บนหัวหนังสือ ที่เขา อุตส่าห์ เสนอความต่าง แต่สุดท้าย ก็ มีเพียง อคติที่ เป็นเหมือนขี้ก้อนหนึ่งที่วางอยู่บนหัว
ดังนั้นกลไกที่รัฐควรจะเร่งรีบทำมากกว่า จัดการสนามหลวง คือการเสริมกลไกที่ให้ความดูแลคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในสังคมไทยในฐานะเพื่อนพลเมืองที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนเท่า ๆ กัน เพื่อแสดงบทบาทของ ผู้นำ ที่ ห่วงใยคนยากไร้ อย่างจริงใจ ไม่ใช่ แสดงออกเพียงเพื่อเรียกความฮา หรือ คะแนนเสียงเท่านั้น
Who have been affected by. Closing Sanam Luang.
Vendors stall in Sanam Luang and vicinity x 1,700 panel members in the family, 3 people = 5,100 people.
The service staff (prostitute) with family members responsible for the 400 x 3 people = 1,200 people.
Chiropractor and the prophet in Sanam Luang 500 x 3 family members = 1,500 people.
Nomadic people who live in mobile homes on 600 public employees.
Number of people receiving the summer minimum is 8,400 people, but if considering the fact details of closed Sanam Luang to improve the associated landscape. This will be the impact. Be not less than 10,000 people just do not see numbers that take only one hand because 10,000 people are symbols of social difference because there are poor people poor, without even the opportunity to live or sale of livelihood. at Sanam Luang.
(Fat) burning silver twist His comment about. Courage of the closing of Sanam Luang. An unknown linear string of mechanical destruction in the project budget, 180 million strong Thai baht and other budget updates Rattanakosin Island. Billions of baht?? If (fat) burning silver narrow-world view, will not be able to extend the chest that is independent thought. As announced on his head the book offers a different endeavor, but the last is only a partial piece of gum in the same place on the head.
Therefore, mechanisms that states should do more urgency. Royal Plaza management. Mechanism is added to the care of people without shelter in Thai society as citizens with dignity friends of the same people to play the role of leader genuinely cares about poor people not only to call expression of interest or votes. only.
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
กวางเผือกหายาก
'เลี่ยน'ฮือฮา พบกวางเผือกหายาก
ภาพโดย เดลี่ เมล์ (www.dailymail.co.uk)
สองพ่อลูก มัสซิโม เดล ดิน และ ลูกสาว เดโบราห์ ถ่ายภาพกวางเผือก เป็นสัตว์ที่พบได้ยากมาก ขณะที่ทั้งคู่เดินป่าอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี
สำนักข่าว ต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค. สองพ่อ-ลูก มัสซิโม เดล ดิน และ เดโบราห์ ถ่ายภาพกวาง มีขนเป็นสีขาวได้ ขณะเดินป่าในเขตโดโลมิเต เมืองเบลลูโน บริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี โดยลูกกวาง คาดว่าจะมีอายุราว 8 เดือนนี้ เดินอยู่กับแม่ของมันที่มีน้ำตาลปกติ
จิอัมมาเรีย ซอมมาวิลลา หัวหน้าตำรวจภูธรเบลลูโน ยืนยันว่ากวางนี้เป็นสัตว์ที่หาพบได้ยากมาก โดยเขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อได้เห็นภาพ เท่าที่จำได้ว่ามีการพบเห็นกวางเผือกแบบนี้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปหลาย ทศวรรษทีเดียว
เจ้าหน้าที่อิตาลีต้องรีบประกาศห้ามล่ากวางเผือกตัว นี้ ให้บรรดานายพรานที่มีใบอนุญาตกว่า 3,500 คน ทราบ โดนเลอันโดร โกรเนส จากสมาคมนักล่าสัตว์ท้องถิ่นบอกว่า กวางตัวนี้เป็นความลึกลับของธรรมชาติ พรานที่ตามล่ามันจะพบจุดจบเดียวกัน
http://www.thairath.co.th/content/oversea/60165
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor | เครือข่ายพลเมืองเน็ต | Thai Netizen Network
การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor
(11 เม.ย. 2552) เพิ่มเติมหมายเลขบัญชีของลูกชายคุณสุวิชา
(April 11, 2009) Mr Suwicha's son's bank account added
ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับครอบครัวของคุณสุวิชา ท่าค้อ สามารถมอบเงินช่วยเหลือได้ทาง
เลขที่บัญชี: 408 - 0 - 31301 - 2
ชื่อบัญชี: นางอมร ท่าค้อ
ธนาคารกรุงไทย
หรือ
เลขที่บัญชี: 115 501 201 406 443
ชื่อบัญชี: ด.ช ธีรัตน์ ท่าค้อ
ธนาคารออมสิน สาขานครพนม
For those who are willing to support Mr. Suwicha Thakor and his family, you can transfer financial support directly to
Account No.: 408 - 0 - 31301 - 2
Account Name: Mrs. Amorn Thakor (Mr. Suwicha's mother - the name may not be correctly spelled)
Krung Thai Bank (http://www.ktb.co.th/en/main/index.jsp)
or
Account No.: 115 501 201 406 443
Account Name: Theerat Thakor
Government Savings Bank, Nakhon Phanom Branch
- suwicha
- http://thainetizen.org/support-suwicha
จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์
จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ
Wed, 2010-01-20 01:54
สุวิชา ท่าค้อ นักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกตัดสินลงโทษจำคุก 10 ปี ส่งจดหมายถึงนายอานนท์ นำพา ทนายความเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา โดยนายอานนท์ เปิดเผยว่าจดหมายดังกล่าวอาจจะเป็นฉบับสุดท้ายที่สุวิชาจะส่งถึงตัวเขาได้ เนื่องจากสุวิชาถูก “เซ็นเซอร์”
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินกาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายสุวิชาพร้อมด้วยครอบครัวได้ยื่นฎีกาไปแล้ว และคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนมกราคมนี้ แต่จนถึงบัดนี้ ไม่ทราบผลการฎีกาดังกล่าว มีเพียงคำอธิบายอย่าง “ไม่เป็นทางการ” จาก “ข้าราชการ” ผู้หนึ่งว่า "เรื่องของสุวิชาไม่เข้าหลักเกณฑ์” สุวิชา ท่าค้อ ส่งจดหมายฉบับนี้ให้แก่ทนายความของเขาและขอร้องให้เปิดเผยแก่สาธารณะได้อ่าน อนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสุวิชา ส่งจดหมายออกมาเป็นจำนวนหลายฉบับ
http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27386
คนจนไร้ที่ดิน ปักหลักชุมนุนข้ามคืน ร้องนายกร่วมคุยแก้ปัญหา | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์
คนจนไร้ที่ดิน ปักหลักชุมนุนข้ามคืน ร้องนายกร่วมคุยแก้ปัญหา
Wed, 2010-01-20 05:47
วานนี้ (19 ม.ค.54) เมื่อเวลา 10.00 น. คนจนไร้ที่ดินเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) จำนวนกว่า 700 คนนัดรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อเดินเท้าต่อไปยังทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลการนำของโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในกรณีที่นายสมพร พัฒนภูมิ ชาวชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือและความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไข ปัญหา ทั้งที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ อยู่ในระหว่างการร่วมกันแก้ไขปัญหา ภายใต้คณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ที่มีนายกเป็นประธาน
ร่วมทำพิธีอาลัยผู้เสียชีวิต ประกาศย้ำทำตามเจตจำนงการต่อสู้
ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กลุ่มสหกรณ์การเช่าที่นาคลองโยงและพิชัยภูเบนทร์ และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ทำการทำพิธีไว้อาลัยต่อนายสมพร โดยนายสุรพล สงฆ์รักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ทำหน้าที่กล่าวคำไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตซึ่งได้เข้าร่วมกับสหพันธ์เกษตรกร ภาคใต้ต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดิน และในฐานะเกษตรกรที่อาบเหงื่อต่างน้ำสร้างผลจากพื้นดินเพื่อการยังชีพตาม วิถีเกษตรกรรม เพื่อสิทธิความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งการกำหนดอนาคตของตนเอง
“เราขอประกาศยืนยันว่าเจตจำนงของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ และเจตจำนงของคุณสมพร พัฒนภูมิ คือเจตจำนงอันเป็นองค์เอกภาพเดียวกัน และเจตจำนงดังกล่าวเราจะต้งเชิดชูให้สูงเด่นยิ่งๆ ขึ้นไป... เพราะนี่คือ ความหวังที่ก้าวหน้า ความหวังในการผลิตอาหารสะอาดเพื่อเลียงดูสังคม ความหวังในการผลิตอาหารที่รับผิดชอบและมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความหวังในการสร้างความสัมพันธ์ทางการผลิตของมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ความหวังในการจัดระบบการอยู่ร่วมใหม่ในสังคมอารยะของมวลมนุษย์” นายสุรพลกล่าวตอนหนึ่ง ของคำไว้อาลัย
ขบวนเริ่มเดินเท้าออกเดินทางจากลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. โดยมีการทำโรงศพจำลอง และภาพถ่ายนายสมพรที่เสียชีวิตในลักษณะลำตัวคุดคู้ใบหน้าซบดินมาใช้นำขบวน และมีการถือป้ายผ้าระบุข้อเรียกร้องต่างๆ ของเครือข่ายฯ อาทิ “จะตายสักกี่ศพ ก่อนจะได้ที่ดินสักผืนไว้ทำกิน” “ป่าไม่สูญ น้ำไม่สิ้นที่ดินถึงลูกหลาน ถ้าจำดทำโฉนดชุมชน” “โฉนดชุมชนจะเกิด ต้องให้หลักความเป็นธรรมนำกฎหมาย”
ยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ พร้อมย้ำปักหลักชุมชนต่อจนกว่าข้อเสนอจะเป็นผล
เมื่อเวลา 11.00 น. มีการจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ที่ใช้ปักหลักเป็นที่ชุมนุม โดยนายบุณยฤทธิ์ ภิรมย์ ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ อ่านแถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย “หยุดฆ่า หยุดทำลาย หยุดขับไล่ เกษตรกรคนจนไร้ที่ดินทำกิน” มีใจความระบุว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องสิทธิที่ในดินทำกินระหว่างสมาชิก เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กับรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2552 และมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหา 6 ชุด โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2552 เป็นไปอย่างล่าช้า โดยตลอดระยะเวลา 10 เดือน 10 วันที่ผ่านมา แม้จะมีการเจรจาเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ
ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ยังคงถูกข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับพื้นที่ของ จ.สุราษฏร์ธานี ชุมชนคลองไทรพัฒนา อ.ชัยบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 สมาชิกชุมชนถูกคุมคามโดยมีชายฉกรรจ์นำรถแทรกเตอร์เข้าไถทำลายบ้านเรือนชาว บ้านเสียหายกว่า 60 หลัง ชาวบ้านได้มีการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่คุกคาม แต่กลับไม่มีการสั่งฟ้องดำเนินคดี จนล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี สมาชิกชุมชนบ้านคลองไทรพัฒนา ได้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง สังเวยชีวิตให้กับความเชื่องช้าในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหามีความด้อยประสิทธิภาพอย่างที่สุด
การนัดรวมตัวกันในวันนี้ของเครือข่ายปฎิรูปที่ดินฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1. กรณีการเสียชีวิตของนายสมพร พัฒนภูมิ ขอให้มีการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งค่าทำศพ และจุนเจือครอบครัวส่วนที่เหลือ อีกทั้งขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของนายสมพร เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่าผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้ในพื้นที่สุราษฏร์ธานีอีกต่อไป
2.กรณีการถูกทำลายบ้านเรือน 60 หลัง เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ขอให้มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับเกษตรกรที่ถูกทำลายบ้านเรือน 60 ครอบครัว และขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนผู้กระทำความผิด และส่งฟ้องร้องดำเนินคดี 3.กรณีการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรจังหวัดสุราษฏร์ธานี ขอให้มีการสั่งการในทางนโยบายนำพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีที่ตรวจสอบชัดเจน แล้วว่าอยู่ใน ส.ป.ก. มาปฏิรูปให้สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ใน 3 ชุมชนคือ ชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง, ชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี, ชุมชนไทรงาม อ.ชัยบุรี
4.กรณีการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยมีการนัดหมายการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ที่ชัดเจน เพื่อดำเนินการสั่งการกรณีปัญหาที่ได้ข้อยุติแล้วจากอนุกรรมการฯ และรอการสั่งการในระดับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้กรรมการอำนวยการฯ ไม่ได้มีการประชุมมากว่า 6 เดือนแล้ว
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า เครือข่ายปฏิรูปทื่ดินฯ ขอยืนยันว่า จะปักหลักชุมชนอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าข้อเสนอของเครือข่ายฯ จะเป็นผลในทางปฏิบัติ
ที่ปรึกษา รมต.สำนักนายกฯ รับเรื่องคุยสาทิตย์-นายกต่อ
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ตัวแทนชาวบ้านเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ได้เข้าร่วมพูดคุยกัย นายสาธร วงศ์หนองเตย ที่ปรึกษางานกำกับราชการส่วนภูมิภาค ของนายสาทิตย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ห้องประชุมศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยตัวแทนได้ชี้แจงยืนยันข้อเสนอทั้ง 4 ข้อของเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ซึ่งนายสาธรรับว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อนายสาทิตย์ และนายกอภิสิทธิ์ และจะทำการประสานงานกับทางเครือข่ายอีกครั้ง
ในการพูดคุย นายสาธรได้เสนอให้มีกระบวนการทำงานในระดับจังหวัดเพื่อดูแลให้ความเป็นธรรม ในคดีการเสียชีวิตของนายสมพร ซึ่งนายสุรพล สงฆ์รักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ชี้แจงว่าชาวบ้านในพื้นที่ไม่ไว้ใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัด เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีคดีคนในพื้นที่ถูกยิ่งเนื่องจากปัญหาความขัดแย้ง เรื่องที่ดิน แต่ถึงปัจจุบันคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า นอกจากนี้ยังมีกรณีของการถูกทำลายบ้านเรือน 60 หลังในชุมชนคลองไทร เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง ทั้งที่มีพยายานรู้เห็นตัวผู้ดำเนินการ ดังนั้นจึงต้องการหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระเพื่อมาทำการสอบสวนข้อเท็จจริง
นายสุรพล กล่าวด้วยว่าในพื้นที่มีปัญหาที่ดินออกเอสารสิทธิทับซ้อน และมีความหลากหลายทั้งในส่วนที่ดิน สปก. ที่ดิน นส.3 และที่ดินในเขตป่า ซึ่งในการดำเนินการโฉนดชุมชนในพื้นที่คิดว่าพื้นที่ สปก.สามารถนำมาใช้ในการจัดสรรที่ดินได้ในอันดับแรก แต่ที่ผ่านมาก็ยังประสบปัญหา เนื่องจากซึ่งสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้รวมทั้งนายสมพร ได้เข้าไปบุกยึด เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนำมากระจายการถือครองในรูปแบบโฉนดชุมชน เป็นพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทอยู่ โดยก่อนหน้านนี้บริษัทธุรกิจการเกษตรจิวกังจุ้ย เข้าไปใช้พื้นที่ของ ส.ป.ก.ปลูกสวนปาล์มตั้งแต่ปี 2524 จำนวน 1,081 ไร่ แต่ตรวจสอบภายหลังพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดนบางส่วนโดยมิชอบ สำนักงานเขตปฏิรูปที่ดินจึงได้ดำเนินการฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจำนวนราว 210 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2550 ศาลได้มีคำพิพากษาให้ ส.ป.ก. ชนะคดี โดยวินิจฉัยว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. และสั่งให้บริษัทและบริวารออกจากที่ดินแปลงนี้ แต่บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ขอทุเลาบังคับคดี โดยขออยู่เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ตรงนี้ทำให้การปฎิรูปที่ดินมีความล่าช้า
นายสุรพลกล่าวด้วยว่าในเรื่องความล่าช้าดังกล่าวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ต้องมีคำสั่งที่ชัดเจน ใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนำที่ดินกลับคืนมาจัดสรรให้ประชาชน ถือเป็นความชอบธรรมที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ นอกจากนี้หากมีการออกคำสั่งจากรัฐบาลจะช่วยลดภาวะล่อแหลมที่จะมีการข่มขู่ คุกคามชาวบ้านในพื้นที่ได้
“สาธร” ประสาน นายกมาพบชาวบ้านได้วันนี้บ่ายโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากการที่มีการพูดคุยในห้องประชุม นายสาธรได้เข้ามาพบชาวบ้านในที่ชุมนุมอีกครั้งเพื่อเจรจาเกี่ยวกับข้อเรียก ร้อง โดยในการนัดหมายการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ได้ข้อสรุปว่าจะมีขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.เพื่อจะพูดคุยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ยงคงค้างอยู่ ส่วนข้อเรียกร้องที่ขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของนายสมพรทาง นายยกรัฐมนตรีไม่ขัดข้อง นอกจากนี้ในการทำลายบานเรือน 60 หลังนั้น ได้มีการไปตรวจสอบข้อมูลพบว่าอับการได้ส่งฟ้องจำเลยแล้ว
อย่างไรก็ตามยังไม่เรื่องที่ชาวบ้านยังไม่ได้รับความชัดเจน คือการชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ระบุชัดในรายละเอียด ซึ่งนายสาธรกล่าวว่าอาจมีการนำเรื่องนี้ไปพูดคุยในการประชุมคณะกรรมการอำนวย การฯ ในวันที่ 1ก.พ. ในส่วนข้อเสนอให้มีการสั่งการในทางนโยบายให้นำพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ที่ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าอยู่ใน ส.ป.ก. มาปฏิรูปให้สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ นั้นในตอนต้นยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันที่ชัดเจนเนื่องจากนายสาธรเสนอว่าให้ทำ ข้อมูลและนำไปพูดคุยกันในวันที่ 1 ก.พ.แต่ชาวบ้านมองว่าเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ
ทั้งนี้ จากการประสานงานต่อมาในเรื่องดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า นายกรับที่จะให้มีการประชุมร่วมกับเครือข่ายปฏิรูที่ดินฯ และได้มีการนัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ดิน สปก.ในวันนี้ (20 ม.ค.) เวลา 11.00 น. เพื่อพูดคุยหาข้อสรุปก่อนที่จะมีการพูดคุยกับนายยกในเวลา 13.00 น. เนื่องจากได้มีการแจ้งว่านายกติดภาระกิจ สามารถร่วมการประชุมได้เพียง 20 นาที
สาทิตย์ ยืนยันนายกฯ รับข้อเสนอเครือข่ายปฏิรูปที่ดินสุราษฎร์ฯ
ในวันเดียวกัน สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มนี้เคยมาเรียกร้องและนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา แก้ไขปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามกรณีทีเกิดขึ้นเป็นที่ดิน สปก.ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีบริษัทเอกชนเข้าไปเช่าที่ดินดังกล่าว ต่อมา สปก.ต้องการนำที่ดินไปปฏิรูป แต่บริษัทดื้อแพ่งไม่ยอมออกจากพื้นที่ จนต้องฟ้องศาล โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้คืนที่ดินไปแล้ว และอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ชาวบ้านที่เสียชีวิตได้เข้าไปอยู่ในที่ดินที่ปฏิรูป เพื่อจับจองที่ดินไว้ก่อน จึงเกิดข้อขัดแย้งกับเจ้าของสวนปาล์มเดิมที่มาเช่าที่ดิน
“ผมได้รับทราบข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่มาประท้วง และได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นว่ารัฐบาลพร้อมรับข้อเรียกร้อง เช่น กรณีญาติของผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตต้องการให้เร่งรัดคดี กรณีที่มีการบุกรุกเข้าไปทำลายบ้าน 60 หลัง ซึ่งจะต้องสอบสวนใหม่ เพื่อให้สามารถเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดได้หลังจากก่อนหน้านี้มีคำสั่งไม่ ฟ้อง และกลุ่มผู้ชุมนุมอยากให้ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินชุด ใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีตกลงที่จะประชุมในเดือน ก.พ.นี้ นอกจากนี้เรื่องเงินชดเชยผู้เสียชีวิต ผมได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ผมยังขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยวางมาตรการดูแล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ยิงกันรุนแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นอีก” นายสาทิตย์ กล่าว
0000
วัน เดือน ปี | เหตุการณ์ |
พฤศจิกายน 2551 | มีการรวมกลุ่มของชาวบ้านประมาณ 120 ครอบครัวขอเข้าไปใช้พื้นที่ตั้งเป็นชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามตรวจสอบผลักดันการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดผลในทางปฎิบัติ โดยต้องการให้นำที่ดินเข้าสู่กระบวนการปฎิรูปเพื่อชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเร็ว |
มีนาคม 2552 | บริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด ได้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากชาวบ้าน 3 คนได้แก่นายบัญญัติ จอง นายอดุลย์ รามจันทร์ และนายสมหมาย ลิกขชัย เป็นจำนวน 3,000,000 บาท โดยโจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวและให้มีหมายจับจำเลยทั้ง 3 ต่อมาศาลได้ถอนฟ้องนายบัญญัติฯจำเลยที่ 1 เนื่องจากมาทราบข้อเท็จจริงภายหลังว่า นายบัญญัติฯเป็นคนวิกลจริต ปัจจุบันรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ โดยจำเลยที่ 2และ 3 ยินยอมออกจากพื้นที่ |
9 สิงหาคม 2552 06.30 น. | มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 40 คันรถปิ๊กอัพ นำโดยผู้บังคับการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและกำลังตรวจจากสถานีตำรวจชัยบุรี เข้าไปตรวจค้นอาวุธและยาเสพติด ตรวจค้นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทยอยกลับได้มีรถไถจำนวนหลายคัน และมีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธปืนยาวหลายคนเดินนำรถไถพังรั้วของชุมชนเข้ามาไถ บ้านของชาวบ้านพังจำนวน 60 หลัง ซึ่งชาวได้แจ้งตำรวจแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ไปแจ้งความที่โรงพัก ชาวบ้านได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้และในวันเดียวกันได้ไปแจ้งความ ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดรับเรื่อง |
10 สิงหาคม 2552 | ได้มีชรบ.ประมาณ 40 นายเข้ามาตรึงกำลังที่แคมป์ของบริษัท ได้มีชาวบ้าน 5 คน เข้าไปแจ้งความอีกครั้ง มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี ปัจจุบันคดียังไม่มความคืบหน้าแต่อย่างใด |
2-7 พฤศจิกายน 2552 | คณะ ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการช่วยเหลือและแก้ปัญหาคดีความของเครือ ข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย กรมสอบสสวนคดีพิเศษ โดย พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิลและคณะ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐโดย พ.ต.ท.สันต์ทรง ตังละแม และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ ชุมชนคลองไทรพัฒนา, ชุมชนน้ำแดง และชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคดีความฯ และเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินต่อไป |
29 ธันวาคม 2552 12.05 น. | พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จาก สภอ.เขาพนม จ.กระบี่ มาพร้อมกับนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด และพวกอีก 5 คน ใช้รถปิ๊กอัพ 2 คัน เข้ามาในชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี และสอบถามข้อมูลต่างๆ จากสมาชิกบางคนในชุมชน ไม่ทราบจึงเกิดความไม่พอใจ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จึงตบหน้านายอภินนท์ สังข์ทอง สมาชิกชุมชนคลองไทรฯ นายอภินนท์ จึงเอากล้องมาขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แต่ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น และกลุ่มบุคคลที่มาด้วยเอาปืนมาจี้ที่น่าอกนายอภินนท์ สังข์ทอง และนางมาลิดา เจียกรัมย์ (ภรรยานายอภินนท์) จึงไม่ได้ภาพไว้เป็นหลักฐาน และกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางออกไปจากชุมชน |
11 มกราคม 2553 19.00 น. | ได้มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองและปืนเอ็ม.16 ยิงเข้าใส่วงสนทนาและรับประทานอาหารค่ำที่นอกชานหน้ากระท่อมที่พักของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ซึ่งมีนายสมพร พัฒนภูมิ เพื่อนบ้านมานั่งอยู่ด้วยและเป็นที่ถูกกระสุนปืนจนเสียชีวิตหลังจากวิ่งหนี มาได้ประมาณ 10 เมตรเศษ ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำตรวจ สภ.อ.ชัยบุรี ได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอกและปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 7 ปลอก มี ข้อสังเกตว่าก่อนเกิดเหตุยิงใส่กลุ่มสมาชิกชุมชนคลองไทรฯ ที่หน้ากระท่อมของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าพบเห็นนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย เข้าตรวจเดินดูสภาพต่างๆ ในชุมชนโดยเฉพาะบริเวณด้านหลังที่เกิดเหตุ |
รายงาน: ความคืบหน้า 3 กรณีเกี่ยวกับ ‘ดา ตอร์ปิโด’ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์
รายงาน: ความคืบหน้า 3 กรณีเกี่ยวกับ ‘ดา ตอร์ปิโด’
Tue, 2010-01-19 22:11
http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27384