ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

กวางเผือกหายาก

'เลี่ยน'ฮือฮา พบกวางเผือกหายาก

Pic_60165

ภาพโดย เดลี่ เมล์ (www.dailymail.co.uk)

สองพ่อลูก มัสซิโม เดล ดิน และ ลูกสาว เดโบราห์ ถ่ายภาพกวางเผือก เป็นสัตว์ที่พบได้ยากมาก ขณะที่ทั้งคู่เดินป่าอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี

สำนักข่าว ต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค. สองพ่อ-ลูก มัสซิโม เดล ดิน และ เดโบราห์ ถ่ายภาพกวาง มีขนเป็นสีขาวได้ ขณะเดินป่าในเขตโดโลมิเต เมืองเบลลูโน บริเวณเทือกเขาแอลป์ของอิตาลี โดยลูกกวาง คาดว่าจะมีอายุราว 8 เดือนนี้ เดินอยู่กับแม่ของมันที่มีน้ำตาลปกติ

จิอัมมาเรีย ซอมมาวิลลา หัวหน้าตำรวจภูธรเบลลูโน ยืนยันว่ากวางนี้เป็นสัตว์ที่หาพบได้ยากมาก โดยเขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อได้เห็นภาพ เท่าที่จำได้ว่ามีการพบเห็นกวางเผือกแบบนี้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปหลาย ทศวรรษทีเดียว

เจ้าหน้าที่อิตาลีต้องรีบประกาศห้ามล่ากวางเผือกตัว นี้ ให้บรรดานายพรานที่มีใบอนุญาตกว่า 3,500 คน ทราบ โดนเลอันโดร โกรเนส จากสมาคมนักล่าสัตว์ท้องถิ่นบอกว่า กวางตัวนี้เป็นความลึกลับของธรรมชาติ พรานที่ตามล่ามันจะพบจุดจบเดียวกัน

http://www.thairath.co.th/content/oversea/60165

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor | เครือข่ายพลเมืองเน็ต | Thai Netizen Network

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor | เครือข่ายพลเมืองเน็ต | Thai Netizen Network

การช่วยเหลือคุณสุวิชา ท่าค้อ | Support for Mr Suwicha Thakor

Submitted by tewson on Wed, 04/08/2009 - 00:35

(11 เม.ย. 2552) เพิ่มเติมหมายเลขบัญชีของลูกชายคุณสุวิชา
(April 11, 2009) Mr Suwicha's son's bank account added

ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับครอบครัวของคุณสุวิชา ท่าค้อ สามารถมอบเงินช่วยเหลือได้ทาง

เลขที่บัญชี: 408 - 0 - 31301 - 2
ชื่อบัญชี: นางอมร ท่าค้อ
ธนาคารกรุงไทย

หรือ

เลขที่บัญชี: 115 501 201 406 443
ชื่อบัญชี: ด.ช ธีรัตน์ ท่าค้อ
ธนาคารออมสิน สาขานครพนม

For those who are willing to support Mr. Suwicha Thakor and his family, you can transfer financial support directly to

Account No.: 408 - 0 - 31301 - 2
Account Name: Mrs. Amorn Thakor (Mr. Suwicha's mother - the name may not be correctly spelled)
Krung Thai Bank (http://www.ktb.co.th/en/main/index.jsp)

or

Account No.: 115 501 201 406 443
Account Name: Theerat Thakor
Government Savings Bank, Nakhon Phanom Branch

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

จดหมายฉบับล่าสุด จากสุวิชา ท่าค้อ

สุวิชา ท่าค้อ นักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกตัดสินลงโทษจำคุก 10 ปี ส่งจดหมายถึงนายอานนท์ นำพา ทนายความเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา โดยนายอานนท์ เปิดเผยว่าจดหมายดังกล่าวอาจจะเป็นฉบับสุดท้ายที่สุวิชาจะส่งถึงตัวเขาได้ เนื่องจากสุวิชาถูก “เซ็นเซอร์”

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินกาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายสุวิชาพร้อมด้วยครอบครัวได้ยื่นฎีกาไปแล้ว และคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนมกราคมนี้ แต่จนถึงบัดนี้ ไม่ทราบผลการฎีกาดังกล่าว มีเพียงคำอธิบายอย่าง “ไม่เป็นทางการ” จาก “ข้าราชการ” ผู้หนึ่งว่า "เรื่องของสุวิชาไม่เข้าหลักเกณฑ์” สุวิชา ท่าค้อ ส่งจดหมายฉบับนี้ให้แก่ทนายความของเขาและขอร้องให้เปิดเผยแก่สาธารณะได้อ่าน อนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสุวิชา ส่งจดหมายออกมาเป็นจำนวนหลายฉบับ

เนื้อความจดหมายฉบับล่าสุดมีดังนี้
เรือนจำคลองเปรม
1 มกราคม 2553
เรียนคุณอานนท์
ผม สูญเสียอิสรภาพและหมดโอกาสที่จะกลับไปเลี้ยงดูลูกเมียผมเป็นเสาหลักของบ้าน และครอบครัวเดือดร้อนมากที่ขาดผมไป จากครอบครัวที่เคยอยู่อย่างอบอุ่นมีความสุข ต้องพังทลายลงเป็นบ้านเรือนแตกแยกเพราะขาดพ่อไป ผมหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่ที่ยังเหลือคือลมหายใจและความหวังที่มืดมน
ผม ขอฝากให้คุณอานนท์โปรดช่วยเหลือและดูแลครอบครัวแทนผมด้วย ผมเป็นห่วงครอบครัวอย่างมากตั้งแต่ที่ผมถูกจับกุมและตลอดมาผมและครอบครัว เรียกร้องขอความเมตตาจากพวกเขา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขามองผมเป็นผู้ร้ายที่จะต้องปราบปราม แต่ไม่ยอมมองถึงต้นเหตุของปัญหาเลยเพราะเหตุทำให้เกิดผล ผมเป็นเพียงแค่ลูกชาวนาธรรมดาและมีความรักต่อสถาบันเหมือนคนไทยทุกคน แต่ที่ผมมีความผิดแบบนี้ก็เพราะเป็นผลผลิตมาจากพวกเขาทั้งนั้นที่ร่วมกัน สร้างผมขึ้นมา แต่เขาไม่เคยมองไปที่ต้นเหตุของมันทั้งที่รู้ทั้งรู้ และผมก็ได้บอกความจริงไปหมดแล้ว แต่พวกเขามองผมเป็นตัวอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงเพื่ออะไรก็ตามแต่ที่ พวกเขาจะร่วมกันกล่าวหาและลงโทษต่อผมอย่างรุนแรง ทั้งที่ความจริงผมเป็น สุจริตชนที่ทำงานโดยสุจริต ผมไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เคยครอบครองอาวุธใดๆ เลย นี่หรือคือบุคคลอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ? ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมจึงอยากจะเล่าเหตุการณ์วันที่ 14 มกราคม 52 ได้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมทั้งห้าชีวิตให้คุณ ฟัง
1 น้องลูกไก่ อายุ 6 ปี เมื่อผมถูกจับกุมภรรยาต้องรีบเดินทางตามผมมาที่กรุงเทพฯ ทันที และเราต้องทิ้งลูกทั้งสองไวตามลำพังเป็นเวลาหลายวัน ลูกชายคนเล็กจะติดแม่มากเพราะเขาอยู่ด้วยกันเสมอ เขาไม่รู้ความจริงหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนปิดบังเขาไว้ เขาร้องไห้หาแม่ทุกวัน และเขาออกไปยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านนานไม่เหลือน้ำตาที่จะไหล จนกระทั่งหลายวันผ่านไปเมื่อภรรยาสิ้นหวังกับการประกันตัวผม เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะสงสารลูก แต่กลับไปเพียงแค่รับลูกชายคนเล็กเดินทางมาที่กรุงเทพฯ โดยไม่สนใจเรื่องการเรียนของเขา (ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่มีจิตใจที่จะเรียน) ภรรยาเป็นห่วงผมมากที่สุดเพราะผมอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากในขณะนั้น ภรรยาเล่าว่าตอนที่เขากลับไปหาลูก ลูกกอดแม่แน่นและร้องไห้พร้อมกับบอกแม่ว่า “แม่อย่าทิ้งหนูไปอีกนะ หากแม่จะไปไหนต้องเอาหนูไปด้วย” และภรรยาผมรับคำสัญญาให้กับลูก เมื่อเรื่องของผมไม่มีทางได้จบลงได้โดยง่านและเมื่อภรรยาจะไปไหนจำเป็นต้อง นำเขาไปด้วยเสมอ เธอต้องหอบลูกเดินทางไป-กลับ กทม.และนครพนมบ่อยมาก พวกเขาเดือดร้อนมาก ปัจจุบันเขาเรียน EP ป. 2
2 น้องนิด อายุ 13 ปี เมื่อทราบข่าวหลังเลิกเรียนและไม่ได้พบทั้งพ่อและแม่ เขาร้องไห้เศร้าโศกเสียใจแทบสิ้นสติ แต่โชคยังดีที่เขายังได้คุยกับแม่ แต่ไม่มีโอกาสจะได้คุยกับผมเพราะผมอยู่ในการควบคุมตัว ตำรวจยึดทั้งโทรศัพท์ของผมและภรรยาเพื่อไปตรวจสอบ พวกเขาคุมตัวผมมากเป็นพิเศษ แม้แต่จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมให้ผมล็อกประตู วันถัดมาภรรยาได้เข้าพบผมที่ห้องขัง DSI สิ่งแรกที่เธอทำคือแกะกระดุมเสื้อผมเพื่อตรวจดูร่องรอยการทำร้ายร่างกาย ดูเธอโล่งใจขึ้นเมื่อร่างกายผมยังอยู่ปกติ เธอจับมือผมแน่นร้องไห้และพูดว่า “รู้ไหม? ในสมองคิดถึงแต่เรื่องนุ้ยจะหลับตาหรือลืมตาก็จะเห็นแต่หน้านุ้ยตลอดทั้งคืน ” ผมพยายามพูดปลอบเธอแต่เธอไม่ให้ผมพูดอะไร ขอให้พูดแต่เรื่องลูกของเรา “รู้ไหมน้องนิดแทบจะบ้าไปแล้ว บอกแม่ว่าให้เอาตัวพ่อคืนมาให้ได้ หากไม่ได้ตัวพ่อกลับมาด้วยแม่อย่ามาให้เห็นหน้าอีก” แต่เมื่อผมประกันตัวไม่ได้ ภรรยาก็โดนลูกสาวว่าไปไม่ทันวันจันทร์ถึงช่วยพ่อไม่ได้ ลูกสาวกัดด่าแม่ใหญ่คิดว่าเป็นความผิดของแม่ที่ไปไม่ทันตามที่อ้าง เพราะน้องนิดไม่รู้ความจริงว่า พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่หลวงมากแค่ไหน ข่าวการจับกุมตัวผมปรากฏไปทุกสื่อ น้องนิดต้องได้รับความกดดันมากจากสังคมที่โรงเรียน เพราะพ่อเป็นนักโทษคดีร้ายแรง ชีวิตเขาเหมือนตายทั้งเป็นเพราะจิตใจบอกช้ำอย่างหนัก สิ่งดีที่สุดที่เขาทำได้คือสวดมนต์ให้พ่อปลอดภัยและอธิฐานให้ได้ตัวพ่อคืนมา ปกติเขาเป็นคนขี้กลัวและนอนข้างผมทุกคืน เพราะเขาจะนอนหลับอย่างอุ่นใจ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกตัวเขาจะขว้ามือผมไปกอดเขาเสมอ แต่จากนี้ไปถึงสิบปีเขาจะไม่มีพ่ออีกแล้ว ตลอดหนึ่งปีผ่านมาเขาก็ยังไม่ได้เห็นหน้าพ่อเลย เขายังคงร้องไห้คิดถึงพ่อของเขาในวันที่ 14 ของทุกเดือน จากฝันร้ายที่เธอยังยอมรับกับมันไม่ได้ มันแย่มากสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความโหดร้ายที่เธอไม่คาดคิดว่า มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา ปัจจุบันน้องนิดเรียนอยู่ ม. 2 EP ที่โรงเรียนxxxxxx และเคยเรียนดีท็อปตอน ม. 1 ตอนนี้ผมไม่รู้ชตากรรมของเธอนัก
3 น้องเล็ก อายุ 15 ปี เขาเรียนอยู่ ม. 3 ที่กรุงเทพฯ และเฝ้าคอย และอีกไม่นานก็จะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องๆ ที่นครพนม เมื่อเขากลับถึงบ้านก็พบกับตำรวจนับสิบคนกำลังค้นบ้าน เขานั่งนิ่งเหมือนคนไร้สติจากความตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตำรวจยึดเอาคอมของเขาที่เพิ่งจะซื้อมาเองเมื่อไม่นาน และผมใช้แค่เช็คเมล์บางครั้งตอนผ่านกรุงเทพฯและเดินทางต่อไปที่แท่นขุดเจาะ น้ำมันที่เวียดนามและไม่เคยใช้คอมในเรื่องการเมืองเลยเพราะช่วงเกิดเหตุผม อยู่ที่ประเทศเวียดนาม ตำรวจได้นำตัวเขาไปสอบสวนด้วยตามลำพัง คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเขาจะหวาดกลัวมากเพียงไหน และต่อมาเขายังถูกตำรวจเฝ้าติดตามอยู่ระยะหนึ่ง ผมคับแค้นใจมากแค่ไหนที่พวกเขาทำกับลูกผมแบบนี้ เขานอนร้องไห้เป็นห่วงพ่อที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและอนาคตของครอบครัว มันแย่มากสำหรับเขา ตำรวจที่ DSI บอกกับผมว่าจะก๊อปปี้ข้อมูลจากคอมมาลงที่ฮาร์ดดิสของตำรวจและจะคืนคอมให้ลูก ของผมเพื่อเขากลับไปใช้งาน หลายอาทิตย์ต่อมาภรรยาผมไปทวงกลับถูกปฏิเสธอ้างว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จ ภรรยาบอกว่าลูกจะต้องใช้งานเพราะเขากำลังจะสอบอีกทั้งคอมนั้นก็ไม่เกี่ยว ข้องกับผม ตำรวจบอกภรรยาผมว่า “หากลูกคุณอยากใช้ คุณก็ไปซื้อเครื่องใหม่ให้ลูกคุณสิ” สุดท้ายพวกเขาก็ขอให้ศาลริบเป็นของกลาง (คิดดูกันเองแล้วกัน) ตำรวจท่านนี้ยังสร้างความเจ็บปวดให้ลูกเมียผมมาก มีอยู่วันหนึ่งเขาบังเอิญพบภรรยาผมที่ศาล เขาชูสองนิ้วให้ภรรยาผมและพูดว่า “แฟนคุณเจอสองกรรม” พร้อมกับยิ้มเพื่อแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่ผมได้รับความผิดได้มากขึ้น ภรรยาผมทุกข์ใจมากอยู่แล้วต้องมารับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกจากพฤติกรรมดัง กล่าว หากเขาจะช่วยเงียบเฉยๆ จะเป็นการดีอย่างยิ่งต่อภรรยาผมที่กำลังอยู่ในกองทุกข์และภรรยาผมก็ไม่ได้ ทักทายอะไรเขาเลย ผมอยากให้เขาคิดบ้างสักนิด ลูกผมจ้องเรียนไปทุกข์ใจไปด้วยจนถึงปิดเทอม ต่อมาลูกชายผมก็ได้บวชเณร เขาคงมีจิตใจที่ดีขึ้นบ้างที่ได้พระธรรมเป็นที่พึ่ง แต่เขาก็ยังคงเครียดอยู่ตลอดเวลาที่ต้องมากำพร้าพ่อในขณะนี้ จิตใจยังคงบอบช้ำจนกว่าจะได้พ่อคืนมา บางวันเขาเครียดมากออกไปหลังบ้านและตะโกน “เล็กคิดถึงพ่อ” ภรรยาผมได้แต่ร้องไห้สงสารลูกเพราะเธอทำทุกอย่างจนสุดความสามารถแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความโหดร้ายต่อลูกๆ ผมจะได้ยุติลงสักที ชีวิตของเด็กๆ ทั้งสามอยู่ในกำมือของพวกเขา คิดเขาจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาเราได้แต่ร้องเรียกของความเมตตา ปัจจุบันเล็กเรียนอยู่ ม.4 EP ที่โรงเรียนxxxxxxx เขาคือลูกคนแรกในชีวิตผมซึ่งผมรักและหวงแหนมาก
4 นา อายุ 36 ปี นาคือภรรยาที่มีค่ามากสำหรับผม เรามีลูกด้วยกัน 3 คน เธอเรียนจบแค่ ป. 6 และเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่ดูแลลูกๆ สิ่งที่เธอกำลังประสบมันหนักหนาเกินกว่าที่เธอจะรับไหว แต่เธอสู้ทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผมเพราะมันหมายถึงชีวิตเธอที่มีค่าและลูกๆ ของพวกเรา หากไม่มีผมพวกเขาจะอยู่กันไม่ได้แน่ นาถูกกดดันรอบด้านทั้งจากทางตำรวจที่ต้องการให้เธออยู่เงียบๆ พวกเขาเคยบอกเธอว่าหากผมได้ออกจากคุกพวกเขาจะไม่รับรองความปลอดภัยหรือหาก ไม่อยากให้ผมเจอหนักก็ต้องอยู่เงียบๆ เธอเป็นห่วงผมมากที่กำลังอยู่ในคุก เธอยอมทิ้งลูกๆ เพื่อมาเฝ้าเยี่ยมและให้กำลังใจผม พอผมถามถึงลูกๆ เขาก็ไม่ให้ผมห่วงลูกขอให้ผมเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยไม่ว่าจะมีสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเธอจะไปสวดอ้อนวอน และบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ได้ตัวผมคืนมา เธอยังต้องรับความกดดันจากลูกๆ ที่รับปากไว้ว่าจะนำพ่อของพวกเขาคืนมาให้ได้แต่ทำทุกอย่างก็ไร้ความหมาย เธอต้องไปให้ความสำคัญกับลูกๆ เพิ่มขึ้น เธอพยายามขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีเพื่อเป็นค่าข้าวและค่าเทอมให้ลูกๆ เธอต้องประหยัดที่สุดจนแทบจะไม่น่าเชื่อเพราะครอบครัวเราไม่มีรายได้อีกแล้ว พี่น้องทีมงานประชาไทจะเข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของภรรยาผมเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่พวกเราต้องการคือเพียงแค่การได้กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันอีก ขอแค่ไปทำไร่ทำนาและอยู่อย่างพอเพียง พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แต่พวกเขาหาได้มีความเมตตาแก่พวกเราไม่ เขาไม่สงสารพวกเราเลย พวกเราก็เป็นคนเหมือนกันและเป็นคนไทย ในช่วงที่แย่ที่สุดผมเคยบอกกับภรรยาว่า “ผมไม่ไหวอีกแล้ว” และสั่งเสียถึงพ่อแม่หากจะไม่ได้พบกันอีก ภรรยาผมร้องไห้และเตือนสติผมว่า “หากไม่มีนุ้ย นาและลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร” มันทำให้ผมสู้ทนเพื่อจะมีชีวิตต่อไป เธอยังเคยพูดว่าถึงเธอจะอยู่นอกคุกแต่ก็ไม่ต่างกับการติดคุก ตราบใดที่ผมยังอยู่ในคุกเพราะเธออยู่ภายใต้แรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะจากลูกๆ ที่น่าสงสาร นาเป็นสิ่งมีค่าสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ เธอทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันและจะทำทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผม
5 นายสุวิชา ท่าค้อ (นุ้ย) อายุ 35 ปี ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรหากไม่ประสบเองก็จะไม่เข้าใจ มันเป็นเหมือนการฆ่าให้ตายไปครึ่งชีวิตหรือการทำให้ตายทั้งเป็นผมไม่อยากให้ ใครได้ลิ้มรสกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนผม เมื่อมีข่าวนักโทษแขวนคอตายในห้องขังผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติเพราะผมเคย ผ่านจุดนั้นมา และที่เกิดเหตุแต่ไม่เป็นข่าวก็มีมาก พวกที่อยู่ในคุกจะรู้ดี บางคนถูกตัดสินแค่หนึ่งปีครึ่งจากข้อหาลักทรัพย์แต่ยอมรับไม่ได้และเลือกที่ จะจบชีวิตตัวเองก็มี (แต่ไม่เป็นข่าว) มันคือจุดทดสอบจิตใจที่จะผ่านความทุกข์ไปได้อย่างไร ผมได้เอาความทุกข์นั้นมาใช้ประโยชน์ทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้ ตอนนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าทนไม่ได้แล้วจริงๆ จนต้องล่ำลาเมียหากจะไม่ได้พบกันอีก คิดว่าจะต้องกลับบ้านให้ได้ถึงจะเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณก็ต้องกลับบ้าน ความทุกข์ทำให้ผมคิดได้ หากคิดจะตายผมก็จะปฏิบัติธรรมให้ตายไปเลย และผมก็ไม่ผิดหวังเพราะผมได้เข้าไปสัมผัสธรรมะที่แท้จริง จนทำให้มองดูเรื่องทางโลกเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเลย ผมฝึกสมาธิอย่างหนักแบบเอาความตายเข้าแลก ฝึกหนักจนกระทั่งจิตเริ่มจะไม่เกาะติดกับร่างกาย และไม่สนใจความเป็นไปของร่างกาย, ความเป็นอยู่และเรื่องราวต่างๆ และผมได้เข้าไปสัมผัสอัปปะนาสมาธิในช่วงเดือนกันยายน สภาพจิตใจตอนนั้นถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิต (ไว้ขออธิบายโอกาสต่อไป) เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตัว) แต่ผมต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างหนักคือความห่วงต่อลูกๆ ทำให้จิตไม่นิ่งได้เต็มที่ คนที่ศึกษาเรื่องธรรมะจะเห็นตัวอย่างมากมายของเวรกรรม ธรรมะสอนให้ผมรู้จักแต่ได้ ผมอยู่ในคุกผมก็ได้กุศลและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ทำบาปอะไรเลยในแต่ละวัน ตราบใดที่พวกเขายังขังผมต่อไป คนที่เสียหายคือพวกเขาที่ทำบาปทำกรรมต่อผมและลูกเมีย เรื่องทางธรรมมักจะเดินสวนทางกับเรื่องทางโลก ทางธรรมคือการทำลายล้างกิเลส, ทำลายอัตตา, ทางโลกคือการแสวงหาความร่ำรวยหรือการสะสมกิเลสนั่นเอง คนที่ร่ำรวยก็จะมีอัตตามากขึ้นคู่กัน ยิ่งเรื่องอำนาจทางการเมืองยิ่งเป็นกิเลสที่หยาบที่สุดเพราะถึงกับจับขัง หรือฆ่ากันได้เลยดังที่เรากำลังเป็นกันอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับ ทางโลกแต่ก็ผมก็จะเดินบนทางธรรมเป็นทางเอก ผมสมหวังและจะไม่เสียดายกับชีวิตแล้วที่ได้เห็นธรรมในชาตินี้ หากไม่เห็นทุกข์ผมคงจะงมโง่อยู่กับกองกิเลสและคงจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิเลสมันจะปิดบังให้คนมืดบอดและจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ไม่มีอะไรมากทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา ชีวิตพวกเราทั้ง 5 อยู่ในอำนาจของเขา ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอก และไม่อยากให้ลูกเมียต้องไปขอบริจาคใครกินแต่พวกเราคงไม่มีทางเลือกที่ดี กว่านี้ และขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผม ลูกๆ ทั้งสามมีค่ามากสำหรับผมขอเพียงให้พวกเขาอยู่รอดสำหรับผมอะไรก็ได้เพราะผม เหมือนคนที่ตายไปแล้วไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรได้อีกแล้ว ผมต้องทำใจกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับผมให้ได้เพราะมันเป็นโลกธรรมแต่ก็ยัง เป็นห่วงพวกเด็กๆ ที่พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจธรรมะทำให้ความทุกข์ตกที่พวกเขาเต็มๆ โลกธรรม 8 คือธรรมที่อยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสพและมันกำลังเกิดขึ้นกับผม ลาภ (ผมทำงานมีรายได้ดี), เสื่อมลาภ (ล้มละลายสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง, ลูกเมียต้องใช้จ่ายเงินจากผู้มีเมตตาหรือจะเรียกว่าขอทานก็ไม่ผิดนัก), ยศ (ผมทำงานเป็น Senior Engineer ในบริษัทที่ดี), เสื่อมยศ (เป็นนักโทษคดีร้ายแรงหรือคนคุก), สรรเสริญ (ฝ่ายที่ชอบก็จะยกย่องเป็นธรรมดา), นินทา (ฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะด่าประณาม), สุข (มีชีวิตที่ดีและครอบครัวที่อบอุ่น), ทุกข์ (ต้องพลัดพรากจากลูกเมียและคิดที่จะปลิดชีพตัวเอง), พอผมเข้าใจธรรมะทำให้ผมปล่อยวางเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นธรรมชาติ คุณอานนท์ลองไปพิจารณาดูกันเองว่าท่านประสพกับโลกธรรมอย่างไรบ้างเพราะไม่มี ใครหนีพ้นหรอก เมื่อรู้แล้วก็อย่าไปทุกข์กับมัน ปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วดับไปตามกฎไตรลักษณ์ อย่าไปทุกข์กับมันมากจนถึงขั้นต้องเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเพราะมันคือ ธรรมชาติของโลก!
ด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
สุวิชา ท่าค้อ
หมายเหตุ
1. ประชาไทสงวนชื่อจริงของลูกๆ ทั้ง 3 ของสุวิชา รวมถึงชื่อโรงเรียนที่ระบุในจดหมาย
2. ประชาไทสะกดคำตามต้นฉบับของสุวิชา

http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27386

คนจนไร้ที่ดิน ปักหลักชุมนุนข้ามคืน ร้องนายกร่วมคุยแก้ปัญหา | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คนจนไร้ที่ดิน ปักหลักชุมนุนข้ามคืน ร้องนายกร่วมคุยแก้ปัญหา | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คนจนไร้ที่ดิน ปักหลักชุมนุนข้ามคืน ร้องนายกร่วมคุยแก้ปัญหา

วานนี้ (19 ม.ค.54) เมื่อเวลา 10.00 น. คนจนไร้ที่ดินเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) จำนวนกว่า 700 คนนัดรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อเดินเท้าต่อไปยังทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลการนำของโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในกรณีที่นายสมพร พัฒนภูมิ ชาวชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือและความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไข ปัญหา ทั้งที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ อยู่ในระหว่างการร่วมกันแก้ไขปัญหา ภายใต้คณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ที่มีนายกเป็นประธาน

ร่วมทำพิธีอาลัยผู้เสียชีวิต ประกาศย้ำทำตามเจตจำนงการต่อสู้

ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กลุ่มสหกรณ์การเช่าที่นาคลองโยงและพิชัยภูเบนทร์ และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ทำการทำพิธีไว้อาลัยต่อนายสมพร โดยนายสุรพล สงฆ์รักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ทำหน้าที่กล่าวคำไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตซึ่งได้เข้าร่วมกับสหพันธ์เกษตรกร ภาคใต้ต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดิน และในฐานะเกษตรกรที่อาบเหงื่อต่างน้ำสร้างผลจากพื้นดินเพื่อการยังชีพตาม วิถีเกษตรกรรม เพื่อสิทธิความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งการกำหนดอนาคตของตนเอง

“เราขอประกาศยืนยันว่าเจตจำนงของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ และเจตจำนงของคุณสมพร พัฒนภูมิ คือเจตจำนงอันเป็นองค์เอกภาพเดียวกัน และเจตจำนงดังกล่าวเราจะต้งเชิดชูให้สูงเด่นยิ่งๆ ขึ้นไป... เพราะนี่คือ ความหวังที่ก้าวหน้า ความหวังในการผลิตอาหารสะอาดเพื่อเลียงดูสังคม ความหวังในการผลิตอาหารที่รับผิดชอบและมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความหวังในการสร้างความสัมพันธ์ทางการผลิตของมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ความหวังในการจัดระบบการอยู่ร่วมใหม่ในสังคมอารยะของมวลมนุษย์” นายสุรพลกล่าวตอนหนึ่ง ของคำไว้อาลัย

ขบวนเริ่มเดินเท้าออกเดินทางจากลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. โดยมีการทำโรงศพจำลอง และภาพถ่ายนายสมพรที่เสียชีวิตในลักษณะลำตัวคุดคู้ใบหน้าซบดินมาใช้นำขบวน และมีการถือป้ายผ้าระบุข้อเรียกร้องต่างๆ ของเครือข่ายฯ อาทิ “จะตายสักกี่ศพ ก่อนจะได้ที่ดินสักผืนไว้ทำกิน” “ป่าไม่สูญ น้ำไม่สิ้นที่ดินถึงลูกหลาน ถ้าจำดทำโฉนดชุมชน” “โฉนดชุมชนจะเกิด ต้องให้หลักความเป็นธรรมนำกฎหมาย”

ยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ พร้อมย้ำปักหลักชุมชนต่อจนกว่าข้อเสนอจะเป็นผล

เมื่อเวลา 11.00 น. มีการจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ที่ใช้ปักหลักเป็นที่ชุมนุม โดยนายบุณยฤทธิ์ ภิรมย์ ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ อ่านแถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย “หยุดฆ่า หยุดทำลาย หยุดขับไล่ เกษตรกรคนจนไร้ที่ดินทำกิน” มีใจความระบุว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องสิทธิที่ในดินทำกินระหว่างสมาชิก เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กับรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2552 และมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหา 6 ชุด โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2552 เป็นไปอย่างล่าช้า โดยตลอดระยะเวลา 10 เดือน 10 วันที่ผ่านมา แม้จะมีการเจรจาเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ

ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ยังคงถูกข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับพื้นที่ของ จ.สุราษฏร์ธานี ชุมชนคลองไทรพัฒนา อ.ชัยบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 สมาชิกชุมชนถูกคุมคามโดยมีชายฉกรรจ์นำรถแทรกเตอร์เข้าไถทำลายบ้านเรือนชาว บ้านเสียหายกว่า 60 หลัง ชาวบ้านได้มีการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่คุกคาม แต่กลับไม่มีการสั่งฟ้องดำเนินคดี จนล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี สมาชิกชุมชนบ้านคลองไทรพัฒนา ได้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง สังเวยชีวิตให้กับความเชื่องช้าในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหามีความด้อยประสิทธิภาพอย่างที่สุด

การนัดรวมตัวกันในวันนี้ของเครือข่ายปฎิรูปที่ดินฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1. กรณีการเสียชีวิตของนายสมพร พัฒนภูมิ ขอให้มีการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งค่าทำศพ และจุนเจือครอบครัวส่วนที่เหลือ อีกทั้งขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของนายสมพร เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่าผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้ในพื้นที่สุราษฏร์ธานีอีกต่อไป

2.กรณีการถูกทำลายบ้านเรือน 60 หลัง เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ขอให้มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับเกษตรกรที่ถูกทำลายบ้านเรือน 60 ครอบครัว และขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนผู้กระทำความผิด และส่งฟ้องร้องดำเนินคดี 3.กรณีการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรจังหวัดสุราษฏร์ธานี ขอให้มีการสั่งการในทางนโยบายนำพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีที่ตรวจสอบชัดเจน แล้วว่าอยู่ใน ส.ป.ก. มาปฏิรูปให้สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ใน 3 ชุมชนคือ ชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง, ชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี, ชุมชนไทรงาม อ.ชัยบุรี

4.กรณีการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยมีการนัดหมายการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ที่ชัดเจน เพื่อดำเนินการสั่งการกรณีปัญหาที่ได้ข้อยุติแล้วจากอนุกรรมการฯ และรอการสั่งการในระดับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้กรรมการอำนวยการฯ ไม่ได้มีการประชุมมากว่า 6 เดือนแล้ว

นายบุณยฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า เครือข่ายปฏิรูปทื่ดินฯ ขอยืนยันว่า จะปักหลักชุมชนอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าข้อเสนอของเครือข่ายฯ จะเป็นผลในทางปฏิบัติ

ที่ปรึกษา รมต.สำนักนายกฯ รับเรื่องคุยสาทิตย์-นายกต่อ

เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ตัวแทนชาวบ้านเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ได้เข้าร่วมพูดคุยกัย นายสาธร วงศ์หนองเตย ที่ปรึกษางานกำกับราชการส่วนภูมิภาค ของนายสาทิตย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ห้องประชุมศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยตัวแทนได้ชี้แจงยืนยันข้อเสนอทั้ง 4 ข้อของเครื่อข่ายปฎิรูปที่ดินฯ ซึ่งนายสาธรรับว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อนายสาทิตย์ และนายกอภิสิทธิ์ และจะทำการประสานงานกับทางเครือข่ายอีกครั้ง

ในการพูดคุย นายสาธรได้เสนอให้มีกระบวนการทำงานในระดับจังหวัดเพื่อดูแลให้ความเป็นธรรม ในคดีการเสียชีวิตของนายสมพร ซึ่งนายสุรพล สงฆ์รักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ชี้แจงว่าชาวบ้านในพื้นที่ไม่ไว้ใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัด เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีคดีคนในพื้นที่ถูกยิ่งเนื่องจากปัญหาความขัดแย้ง เรื่องที่ดิน แต่ถึงปัจจุบันคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า นอกจากนี้ยังมีกรณีของการถูกทำลายบ้านเรือน 60 หลังในชุมชนคลองไทร เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง ทั้งที่มีพยายานรู้เห็นตัวผู้ดำเนินการ ดังนั้นจึงต้องการหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระเพื่อมาทำการสอบสวนข้อเท็จจริง

นายสุรพล กล่าวด้วยว่าในพื้นที่มีปัญหาที่ดินออกเอสารสิทธิทับซ้อน และมีความหลากหลายทั้งในส่วนที่ดิน สปก. ที่ดิน นส.3 และที่ดินในเขตป่า ซึ่งในการดำเนินการโฉนดชุมชนในพื้นที่คิดว่าพื้นที่ สปก.สามารถนำมาใช้ในการจัดสรรที่ดินได้ในอันดับแรก แต่ที่ผ่านมาก็ยังประสบปัญหา เนื่องจากซึ่งสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้รวมทั้งนายสมพร ได้เข้าไปบุกยึด เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนำมากระจายการถือครองในรูปแบบโฉนดชุมชน เป็นพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทอยู่ โดยก่อนหน้านนี้บริษัทธุรกิจการเกษตรจิวกังจุ้ย เข้าไปใช้พื้นที่ของ ส.ป.ก.ปลูกสวนปาล์มตั้งแต่ปี 2524 จำนวน 1,081 ไร่ แต่ตรวจสอบภายหลังพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดนบางส่วนโดยมิชอบ สำนักงานเขตปฏิรูปที่ดินจึงได้ดำเนินการฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจำนวนราว 210 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2550 ศาลได้มีคำพิพากษาให้ ส.ป.ก. ชนะคดี โดยวินิจฉัยว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. และสั่งให้บริษัทและบริวารออกจากที่ดินแปลงนี้ แต่บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ขอทุเลาบังคับคดี โดยขออยู่เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ตรงนี้ทำให้การปฎิรูปที่ดินมีความล่าช้า

นายสุรพลกล่าวด้วยว่าในเรื่องความล่าช้าดังกล่าวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ต้องมีคำสั่งที่ชัดเจน ใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนำที่ดินกลับคืนมาจัดสรรให้ประชาชน ถือเป็นความชอบธรรมที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ นอกจากนี้หากมีการออกคำสั่งจากรัฐบาลจะช่วยลดภาวะล่อแหลมที่จะมีการข่มขู่ คุกคามชาวบ้านในพื้นที่ได้

“สาธร” ประสาน นายกมาพบชาวบ้านได้วันนี้บ่ายโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากการที่มีการพูดคุยในห้องประชุม นายสาธรได้เข้ามาพบชาวบ้านในที่ชุมนุมอีกครั้งเพื่อเจรจาเกี่ยวกับข้อเรียก ร้อง โดยในการนัดหมายการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ได้ข้อสรุปว่าจะมีขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.เพื่อจะพูดคุยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ยงคงค้างอยู่ ส่วนข้อเรียกร้องที่ขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของนายสมพรทาง นายยกรัฐมนตรีไม่ขัดข้อง นอกจากนี้ในการทำลายบานเรือน 60 หลังนั้น ได้มีการไปตรวจสอบข้อมูลพบว่าอับการได้ส่งฟ้องจำเลยแล้ว

อย่างไรก็ตามยังไม่เรื่องที่ชาวบ้านยังไม่ได้รับความชัดเจน คือการชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ระบุชัดในรายละเอียด ซึ่งนายสาธรกล่าวว่าอาจมีการนำเรื่องนี้ไปพูดคุยในการประชุมคณะกรรมการอำนวย การฯ ในวันที่ 1ก.พ. ในส่วนข้อเสนอให้มีการสั่งการในทางนโยบายให้นำพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ที่ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าอยู่ใน ส.ป.ก. มาปฏิรูปให้สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ นั้นในตอนต้นยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันที่ชัดเจนเนื่องจากนายสาธรเสนอว่าให้ทำ ข้อมูลและนำไปพูดคุยกันในวันที่ 1 ก.พ.แต่ชาวบ้านมองว่าเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ

ทั้งนี้ จากการประสานงานต่อมาในเรื่องดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า นายกรับที่จะให้มีการประชุมร่วมกับเครือข่ายปฏิรูที่ดินฯ และได้มีการนัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ดิน สปก.ในวันนี้ (20 ม.ค.) เวลา 11.00 น. เพื่อพูดคุยหาข้อสรุปก่อนที่จะมีการพูดคุยกับนายยกในเวลา 13.00 น. เนื่องจากได้มีการแจ้งว่านายกติดภาระกิจ สามารถร่วมการประชุมได้เพียง 20 นาที

สาทิตย์ ยืนยันนายกฯ รับข้อเสนอเครือข่ายปฏิรูปที่ดินสุราษฎร์ฯ

ในวันเดียวกัน สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาลว่า กลุ่มนี้เคยมาเรียกร้องและนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา แก้ไขปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามกรณีทีเกิดขึ้นเป็นที่ดิน สปก.ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีบริษัทเอกชนเข้าไปเช่าที่ดินดังกล่าว ต่อมา สปก.ต้องการนำที่ดินไปปฏิรูป แต่บริษัทดื้อแพ่งไม่ยอมออกจากพื้นที่ จนต้องฟ้องศาล โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้คืนที่ดินไปแล้ว และอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ชาวบ้านที่เสียชีวิตได้เข้าไปอยู่ในที่ดินที่ปฏิรูป เพื่อจับจองที่ดินไว้ก่อน จึงเกิดข้อขัดแย้งกับเจ้าของสวนปาล์มเดิมที่มาเช่าที่ดิน

“ผมได้รับทราบข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่มาประท้วง และได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นว่ารัฐบาลพร้อมรับข้อเรียกร้อง เช่น กรณีญาติของผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตต้องการให้เร่งรัดคดี กรณีที่มีการบุกรุกเข้าไปทำลายบ้าน 60 หลัง ซึ่งจะต้องสอบสวนใหม่ เพื่อให้สามารถเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดได้หลังจากก่อนหน้านี้มีคำสั่งไม่ ฟ้อง และกลุ่มผู้ชุมนุมอยากให้ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินชุด ใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีตกลงที่จะประชุมในเดือน ก.พ.นี้ นอกจากนี้เรื่องเงินชดเชยผู้เสียชีวิต ผมได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ผมยังขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยวางมาตรการดูแล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ยิงกันรุนแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นอีก” นายสาทิตย์ กล่าว

0000

ลำดับเหตุการณ์ชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี
วัน เดือน ปี
เหตุการณ์
พฤศจิกายน 2551
มีการรวมกลุ่มของชาวบ้านประมาณ 120 ครอบครัวขอเข้าไปใช้พื้นที่ตั้งเป็นชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามตรวจสอบผลักดันการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดผลในทางปฎิบัติ โดยต้องการให้นำที่ดินเข้าสู่กระบวนการปฎิรูปเพื่อชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเร็ว
มีนาคม 2552
บริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด ได้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากชาวบ้าน 3 คนได้แก่นายบัญญัติ จอง นายอดุลย์ รามจันทร์ และนายสมหมาย ลิกขชัย เป็นจำนวน 3,000,000 บาท โดยโจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวและให้มีหมายจับจำเลยทั้ง 3 ต่อมาศาลได้ถอนฟ้องนายบัญญัติฯจำเลยที่ 1 เนื่องจากมาทราบข้อเท็จจริงภายหลังว่า นายบัญญัติฯเป็นคนวิกลจริต ปัจจุบันรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ โดยจำเลยที่ 2และ 3 ยินยอมออกจากพื้นที่
9 สิงหาคม 2552
06.30 น.
มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 40 คันรถปิ๊กอัพ นำโดยผู้บังคับการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและกำลังตรวจจากสถานีตำรวจชัยบุรี เข้าไปตรวจค้นอาวุธและยาเสพติด ตรวจค้นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทยอยกลับได้มีรถไถจำนวนหลายคัน และมีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธปืนยาวหลายคนเดินนำรถไถพังรั้วของชุมชนเข้ามาไถ บ้านของชาวบ้านพังจำนวน 60 หลัง ซึ่งชาวได้แจ้งตำรวจแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ไปแจ้งความที่โรงพัก ชาวบ้านได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้และในวันเดียวกันได้ไปแจ้งความ ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดรับเรื่อง
10 สิงหาคม 2552
ได้มีชรบ.ประมาณ 40 นายเข้ามาตรึงกำลังที่แคมป์ของบริษัท ได้มีชาวบ้าน 5 คน เข้าไปแจ้งความอีกครั้ง มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี ปัจจุบันคดียังไม่มความคืบหน้าแต่อย่างใด
2-7 พฤศจิกายน 2552
คณะ ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการช่วยเหลือและแก้ปัญหาคดีความของเครือ ข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย กรมสอบสสวนคดีพิเศษ โดย พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิลและคณะ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐโดย พ.ต.ท.สันต์ทรง ตังละแม และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ ชุมชนคลองไทรพัฒนา, ชุมชนน้ำแดง และชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคดีความฯ และเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินต่อไป
29 ธันวาคม 2552
12.05 น.
พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จาก สภอ.เขาพนม จ.กระบี่ มาพร้อมกับนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด และพวกอีก 5 คน ใช้รถปิ๊กอัพ 2 คัน เข้ามาในชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี และสอบถามข้อมูลต่างๆ จากสมาชิกบางคนในชุมชน ไม่ทราบจึงเกิดความไม่พอใจ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จึงตบหน้านายอภินนท์ สังข์ทอง สมาชิกชุมชนคลองไทรฯ นายอภินนท์ จึงเอากล้องมาขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แต่ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น และกลุ่มบุคคลที่มาด้วยเอาปืนมาจี้ที่น่าอกนายอภินนท์ สังข์ทอง และนางมาลิดา เจียกรัมย์ (ภรรยานายอภินนท์) จึงไม่ได้ภาพไว้เป็นหลักฐาน และกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางออกไปจากชุมชน
11 มกราคม 2553
19.00 น.
ได้มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองและปืนเอ็ม.16 ยิงเข้าใส่วงสนทนาและรับประทานอาหารค่ำที่นอกชานหน้ากระท่อมที่พักของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ซึ่งมีนายสมพร พัฒนภูมิ เพื่อนบ้านมานั่งอยู่ด้วยและเป็นที่ถูกกระสุนปืนจนเสียชีวิตหลังจากวิ่งหนี มาได้ประมาณ 10 เมตรเศษ
ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำตรวจ สภ.อ.ชัยบุรี ได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอกและปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 7 ปลอก
มี ข้อสังเกตว่าก่อนเกิดเหตุยิงใส่กลุ่มสมาชิกชุมชนคลองไทรฯ ที่หน้ากระท่อมของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าพบเห็นนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย เข้าตรวจเดินดูสภาพต่างๆ ในชุมชนโดยเฉพาะบริเวณด้านหลังที่เกิดเหตุ
แถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 1
“หยุดฆ่า หยุดทำลาย หยุดขับไล่ เกษตรกรคนจนไร้ที่ดินทำกิน”
สืบ เนื่องจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย อันประกอบด้วย สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กลุ่มสหกรณ์การเช่าที่นาคลองโยงและพิชัยภูเบนทร์ และเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งเรื่องสิทธิที่ดินทำกินระหว่างสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่ง ประเทศไทย กับหน่วยงานราชการ จนกระทั่งมีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 และมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเครือข่าย ปฏิรูปที่ดินฯ อีก 6 ชุด โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2552
ตลอดระยะเวลา10 เดือน 10 วันที่ผ่านมา แม้จะมีการเจรจาเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ แทบทุกพื้นที่ไม่มีความคืบหน้า ชาวบ้านยังคงถูกข่มขู่คุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับพื้นที่ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี ชุมชนคลองไทรพัฒนา อ.ชัยบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย สมาชิกชุมชน เคยถูกคุมคามจากกรณีที่มีชายฉกรรจ์นำรถแทรกเตอร์ เข้าไถดัน บ้านเรือนชาวบ้านเสียหาย เป็นจำนวนถึง 60 หลัง เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ชาวบ้านได้มีการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่คุกคาม แต่กลับไม่ได้มีการสั่งฟ้องแต่อย่างใด จนล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.00 น. นายสมพร พัฒนภูมิ สมาชิกชุมชนบ้านคลองไทรพัฒนา ได้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง สังเวยชีวิตให้กับความเชื่องช้าในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหามีความด้อยประสิทธิภาพอย่างที่สุด
ณ วันนี้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ จำนวน 700 คน ได้นัดรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าได้นิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาของเครือข่ายฯ ตามข้อเสนอดังต่อไปนี้
กรณีการเสียชีวิตของนายสมพร พัฒนภูมิ
1. ขอให้มีการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งค่าทำศพ และจุนเจือครอบครัวส่วนที่เหลือ
2. ขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนการเสียชีวิตของนายสมพร เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่าผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้ในพื้นที่สุราษฏร์ธานีอีกต่อไป
กรณีการถูกทำลายบ้านเรือน 60 หลัง เมื่อเดือนสิงหาคม 2552
1. ขอให้มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับเกษตรกรที่ถูกทำลายบ้านเรือน 60 ครอบครัว
2. ขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนผู้กระทำความผิด และส่งฟ้องร้องดำเนินคดี
กรณีการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรจังหวัดสุราษฏร์ธานี
1. ขอให้มีการสั่งการในทางนโยบายนำพื้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานีที่ตรวจสอบชัดเจน แล้วว่าอยู่ใน ส.ป.ก. มาปฏิรูปให้สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ (ชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง, ชุมชนคลองไทร อ.ชัยบุรี, ชุมชนไทรงาม อ.ชัยบุรี)
กรณีการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
1. ขอให้เร่งแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยมีการนัดหมายการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ที่ชัดเจน เพื่อดำเนินการสั่งการกรณีปัญหาที่ได้ข้อยุติแล้วจากอนุกรรมการฯ และรอการสั่งการในระดับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี (ทั้งนี้กรรมการอำนวยการฯไม่ได้มีการประชุมมาแล้วกว่า 6 เดือน)
เครือ ข่ายปฏิรูปทื่ดินฯ ขอยืนยันว่า จะปักหลักชุมชนอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าข้อเสนอของเครือข่ายฯ จะเป็นผลในทางปฏิบัติ
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
หน้าทำเนียบรัฐบาล
19 มกราคม 2553
http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27387

รายงาน: ความคืบหน้า 3 กรณีเกี่ยวกับ ‘ดา ตอร์ปิโด’ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

รายงาน: ความคืบหน้า 3 กรณีเกี่ยวกับ ‘ดา ตอร์ปิโด’ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

รายงาน: ความคืบหน้า 3 กรณีเกี่ยวกับ ‘ดา ตอร์ปิโด’

ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อรักษาขากรรไกรยึดติด
แม้ความคืบหน้าของคดี ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ที่ต้องโทษ 18 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ก็มีความเคลื่อนไหวอยู่โดยตลอดในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อรักษา อาการเจ็บป่วยด้วยโรคขากรรไกยึดติดเรื้อรัง
5 พฤศจิกายน 2552 สถานพยาบาล ทัณฑสถานหญิงกลาง ออกใบความเห็นแพทย์ ลงนามโดย นายแพทย์ ปิ่น ลิ้มมีโชคชัย ซึ่งตรวจอาการของดารณีแล้วระบุว่า “ป่วยด้วยปัญหาข้อขากรรไกรยึดติด เรื้อรัง” และ “ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เห็นสมควรต้องทำ CT scan ดูรอยโรคที่ขากรรไกร เพื่อพิจารณาขั้นตอนและวางแผนในการรักษาต่อไป”
ก่อนหน้านั้นหลาย เดือน ดารณีกล่าวระหว่างการเยี่ยมว่า การอ้าปากของเธอทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้รับประทานอาหารไม่ทันเวลา และกับข้าวในเรือนจำค่อนข้างแข็งหรือไม่ก็มีรสเผ็ดทำให้รับประทานได้ลำบาก มากขึ้น โรงพยาบาลในเรือนจำให้ได้แต่เพียงยาบรรเทาอาการปวด ส่วนการส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกเรือนจำนั้นต้องต่อคิวซึ่งยาวนาน ข้ามปี สุดท้ายมักจบด้วยการที่ผู้เยี่ยมต้องซื้อนมถั่วเหลืองจำนวนหลายแพ็กฝากไว้ เพราะเป็นอาหารหลักของเธอ
ประเวศ ประภานุกูล ก็เคยให้ข้อมูลจากการเข้าเยี่ยมดารณีว่า เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในเรือนจำยืนยันว่าไม่มีอุปกรณ์ที่จะทำการผ่าตัดให้ ได้ และยังเคยฝากดารณีว่าหากได้รับการปล่อยตัว ขอให้ช่วยระดมการบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เรือนจำด้วย
ทนายความเคยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอปล่อยชั่วคราวเพื่อรักษาหรือผ่าตัดขากรรไกรของดารณี ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 3 ธันวาคม 2552 ทนายได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลอุทธรณ์อีกครั้ง โดยใช้เอกสารความเห็นแพทย์ในเรือนจำประกอบ จากนั้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องเช่นกัน โดยระบุว่า
“พิเคราะห์แล้ว ข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำอุกอาจ ร้ายแรง เป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินี ลักษณะการกระทำมีผลกระทบความมั่นคงในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการกระทำซ้ำในลักษณะเดียวกันหลายครั้ง และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยสูงกระทงละ 6 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 18 ปี หากปล่อยชั่วคราวแล้วเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี หรือกระทำลักษณะเดียวกันซ้ำอีก ข้ออ้างเกี่ยวกับเหตุเจ็บป่วยของจำเลยว่ามีอการรุนแรงขึ้น ไม่ปรากฏว่าอาการรุนแรงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือการดำรงชีวิตโดยปกติเพียงใด ไม่เป็นการสมควรปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งเหตุผลการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแก่จำเลยและ ผู้ขอประกันโดยเร็ว” ลงนามโดย นายอำนวย โสภาพันธ์ นายเอกชัย เหลี่ยมไพศาล นายสุพัฒน์ พงษ์ทัดศิริกุล
ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง กรณีการพิจารณาคดีลับขัดรัฐธรรมนูญ
หากยังจำกันได้ ช่วงการพิจารณาคดีของดารณีเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ปีที่แล้วนั้น มีการต่อสู้กันนอกเหนือจากคดีความด้วย นั่นคือ การต่อสู้เรื่องการพิจารณาคดีแบบปิดลับว่าเป็นการสมควรหรือไม่ และในครั้งนั้นได้มีการโต้แย้ง ออกแถลงการณ์จากจำเลยด้วยตามที่เป็นข่าว (อ่านรายละเอียดที่นี่)
อย่างไรก็ตาม วันที่ 27 สิงหาคม 2552 ดารณีได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่า
1. การที่ผู้พิพากษาศาลอาญาสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ อ้างอำนาจตามมาตรา 177 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) เป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 29 และมาตรา 40 (2) ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องด้วยมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลให้ มาตรา 177 ป.วิอาญา เป็นอันบังคับใช้ไม่ได้
2. การที่ศาลอาญาไม่ส่งคำร้อง คำโต้แย้งของจำเลยว่ามาตรา 177 ป.วิอาญา ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 29 และ 40(2) เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ
3. มีคำสั่งให้ศาลอาญารอการพิพากษาคดีไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามข้อ 1
หลังจากนั้น 1 วันคือ วันที่ 28 สิงหาคม 2552 ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกดารณี 18 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากความผิด 3 กระทง กระทงละ 6 ปี ตามที่ปรากฏเป็นข่าวโดยทั่วไป
ต่อมา วันที่ 21 ตุลาคม 2552 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งที่ 38/2552 ไม่รับคำร้องของดารณี โดยเท้าความว่า ในระหว่างพิจารณาคดีนั้น ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้ส่งความเห็นของผู้ร้องตามทางการไปให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และขอให้ศาลอาญารอการพิจารณาคดีไว้เป็นการชั่วคราวจนว่าจะมีคำวินิจฉัยจาก ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลอาญาสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ มิได้มีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของจำเลย เนื่องจากมีทนายความเข้ามาแก้ต่างให้และสามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความ ผิดของตนเองและหักล้างพยานหลักฐานของพนักงานอัยการได้ คำโต้แย้งของจำเลย จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญ ศาลอาญาจึงยกคำร้อง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเบื้องต้นว่าจะรับคำร้องนี้หรือไม่ โดยระบุว่า ตามมาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ คือ 1) ต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้อัน สืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 2) บุคคลนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรรมนูญ 3) ต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญเห็น ว่า “ผู้ร้องยังอาจใช้สิทธิทางศาลตามลำดับชั้นศาลได้ทั้งในชั้นอุทธรณ์ และฎีกา รวมทั้งยังอาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 212 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 21”
ส่วนประเด็นว่าการ ที่ศาลอาญาไม่ส่งข้อโต้แย้งของผู้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำที่ไม่ ชอบหรือไม่ และประเด็นที่สามที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ศาลอาญารอการ พิพากษาคดีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า “ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบท บัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 212 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 21”
“อาศัยเหตุผลดัง กล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย” ลงนามโดย นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แก่ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร นายเฉลิมพล เอกอุรุ นายนุรักษ์ มาประณีต นายบุญส่ง กุลบุปผา นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
ศาลอาญายกฟ้อง กรณีดารณีฟ้องผู้พิพากษา ‘พรหมมาศ ภู่แส’
หลังสถานที่ราชการเปิดทำการวันแรกในเดือนมกราคม 2553 ดารณีเป็นโจทก์ฟ้อง นายพรหมมาศ ภู่แส ผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นจำเลย ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยคำฟ้องอ้างอิงถึง มาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณา วินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ในกรณีที่ศาลรัฐ ธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับ การวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว”
คำฟ้องสรุปได้ว่า วันที่ 23 มิถุนายน 2552 จำเลยในฐานะผู้พิพากษาศาลอาญาได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีของดารณี และใช้อำนาจสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ ตามมาตรา 177 ป.วิอาญา ซึ่งโจทก์ (ในฐานะจำเลยในคดีดังกล่าว) ได้คัดค้านคำสั่งดังกล่าว ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2552 โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยในฐานะผู้พิพากษาคดีดังกล่าวขอให้รอการพิจารรา พิพากษาคดีและส่งเรื่องตามทางการไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่า มาตรา 177 ป.วิอาญาขัดกับมาตรา 29 และ 40(2) ของรัฐธรรมหรือไม่ ในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยได้มีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว ทั้งที่จำเลยไม่มีอำนาจวินิจฉัยต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับวินิจฉัยเสียเอง จึงเป็นการที่จำเลยกระทำการในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดี ดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ โดยขอให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน และขอให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีชั่วคราวรวมทั้งให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐ ธรรมนูญ แต่จำเลยในฐานะผู้พิพากษาคดีดังกล่าวได้มีคำสั่งว่า คำสั่งของศาลชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอน ให้ยกคำร้อง ตามมาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญ จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐ ธรรมนูญหรือไม่ การที่จำเลยปฏิเสธไม่ส่งคำโต้แย้งไปศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับวินิจฉัยเสียเองว่า มาตรา 177 ป.วิอาญา ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพทั้งที่ไม่มีอำนาจวินิจฉัย จึงเป็นการที่จำเลยกระทำการในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว ทั้งนี้ ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพราะประสงค์จะดำเนินคดีเอง
ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2553 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง ระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้อง เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง”

http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27384

20-27 ม.ค. นี้ ขอเชิญชมภาพยนตร์สั้นและอนิเมชันชั้นดีจากเยอรมนี - ประชาสัมพันธ์ งานกิจกรรม (Activities Board) - ThaiNGO! Board - Powered by Discuz!

20-27 ม.ค. นี้ ขอเชิญชมภาพยนตร์สั้นและอนิเมชันชั้นดีจากเยอรมนี

20-27 ม.ค. นี้ ขอเชิญชมภาพยนตร์สั้นและอนิเมชันชั้นดีจากเยอรมนี

ใครเคยคิดว่าคนเยอรมันเคร่งครึม หนังเยอรมันเคร่งเครียด

ใครเคยคิดว่าคนเยอรมันไร้อารมณ์ขัน หนังเยอรมันไม่สนุก

ใครเคยคิดว่าคนเยอรมันไม่เป็นมิตร หนังเยอรมันสุดแสนน่าเบื่อ

สถาบันเกอเธ่ และ มูลนิธิหนังไทย ขอท้าพิสูจน์! ด้วยการร่วมจัดงานแสดง ภาพยนตร์สั้นและอนิเมชันเรื่องเยี่ยม จากประเทศสหพันธรัฐเยอรมนี ในวันที่ 20 – 27 ม.ค.ศกนี้ ณ ห้องประชุมชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (ยกเว้นวันจันทร์) งานนี้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร

หรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ http://www.thaifilm.com
และสามารถสอบถามได้ที่
thaishortfilmfestival@gmail.com
หรือ โทร 080-557-9709

หลังจากงานนี้ เยอรมนีจะเปลี๋ยนไปในสายตาคุณ!


รายละเอียดโปรแกรมภาพยนตร์สั้นและอนิเมชั่น ทั้งหมด 8 โปรแกรม

โปรแกรมที่ 1 ภาพยนตร์อนิเมชันเยอรมันร่วมสมัย จากปี 1989 จนถึงปัจจุบัน (Contemporaries – German Animated Film from 1989 until now)

โปรแกรม นี้ได้รวบรวมเรื่องราวที่สุดของผลงานอนิเมชั่นเยอรมันที่สร้างขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นถึงความหลากหลายของภาพยนตร์อนิเมชั่นของเยอรมัน เริ่มด้วยนิทานปรัมปราที่เคร่งขรึม เจ้าของรางวัลออสการ์ในสาขาอนิเมชั่นสั้นยอดเยี่ยม เรื่อง Balance ของ คริสตอฟ และ โวล์ฟกัง เลาเอนชไตน์ ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานเรื่องเยี่ยมตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา หรืออนิเมชันภาพวาดในแนวกวีของโยเค่น คูน และ เคิร์สเทน วินเทอร์ อีกทั้งยังมีอนิเมชันคอมพิวเตอร์โดยศิลปินคู่หู ฮันน่า นอร์ทโฮล์ด และ ฟริสต์ ชไตน์โกรเบอร์ หรืออนิเมชั่นทรีโอ ได้แก่ ทอม เวเบอร์, ญาณ บิทท์เซอร์ และ อิลญ่า บรังค์

ฉายวันพุธที่ 20 ม.ค. รอบ 18.00 น. และวันพุธที่ 27 ม.ค. รอบ 18.00 น. (รอบนี้ หลังโปรแกรมจบ จะมีการร่วมพูดคุยกับ Ulrich Wegenast
ผู้อำนวยการด้านศิลปะของเทศกาลภาพยนตร์อนิเมชันสตุทท์การ์ท)

โปรแกรมที่ 2 ระหว่างศิลปะแห่งรัฐ กับ ศิลปะใต้ดิน
ภาพยนตร์อนิเมชันในเยอรมนีตะวันออก (Between State Art and Underground – Animated Film in the GDR)

ภาพ ยนตร์อนิเมชันประมาณ 2,000 เรื่องได้รับการสรรค์สร้างขึ้นโดยสตูดิโอดีฟ่าซึ่งเป็นสตูดิโอสำหรับภาพ ยนตร์อนิเมชั่นของรัฐ ที่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1955 ในเมืองเดรสเดน ถึงแม้ว่าอนิเมชันส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจะสำหรับเด็ก แต่จริงๆ แล้ว อนิเมชั่นของฟากเยอรมนีตะวันออกมีอะไรมากกว่านั้น

โปรแกรม นี้ได้รวมงานอนิเมชันสั้นอันล้ำค่า และความขัดแย้งในด้านศิลปะซึ่งเป็นผลผลิตของสถานการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในขณะ นั้น โปรแกรมนี้ได้รวบรวมทั้งอนิเมชั่นสั้นจากสตูดิโอ

ดีฟ่า ในเมืองเดรสเดนและกลุ่มคนทำหนังใต้ที่เกี่ยวข้องศิลปินชื่อว่าเอ อาร์ เพงค์ค ซึ่งผลิตงานมากมายนับตั้งแต่ช่วงกลางของปี 70

โปรแกรมนี้รวบรวมโดยการได้รับการสนับสนุนจาก The German Institute of Animated Film, เมือง Dresden

ฉายวันศุกร์ที่ 22 ม.ค. รอบ 18.30 น. และ อังคารที่ 26 ม.ค. รอบ 18.00 น. (หลังโปรแกรมรอบนี้จบ จะมีการร่วมพูดคุยกับ Ulrich Wegenast
ผู้อำนวยการด้านศิลปะของเทศกาลภาพยนตร์อนิเมชันสตุทท์การ์ท)

โปรแกรมที่ 3
อนิเมชั่นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาลอนิเมชันชตุทท์การ์ท
2009

(Best of Stuttgart International Festival of Animated Film (ITFS) – International Selection)

สุดยอดภาพยนตร์อนิเมชั่นนานาชาติจากงานเทศกาล Stuttgart Festival of Animated Film 2009
โปรแกรมนี้จะรวบรวมทั้งอนิเมชั่นจากหลากหลายประเทศที่ใช้เทคนิคสมัยใหม่ แบบ คอมพิวเตอร์ 3D ไปจนถึงใช้ศิลปะข้างถนน ที่ได้รับรางวัลในงานเทศกาลในปีที่ผ่านมา

“Muto” ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในเทศกาลภาพยนตร์อนิเมชั่น 2009 ได้ถูกรวบรวมไว้ในโปรแกรมนี้ด้วย Muto เป็นเซอเรียลอนิเมชั่นดำเนินเรื่องบนกำแพงและตึกในกรุงบัวโนสไอเรส มีดนตรีแนวอิเล็คโทรนิคประกอบ

ใครที่ชอบอนิเมชันไอเดียกิ๊บเก๋ เนื้อหาสนุกๆ ต้องห้ามพลาดโปรแกรมนี้ด้วยเด็ดขาด

ฉาย วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค. รอบ 11.00 น. และ 17.00 น.

โปรแกรมที่ 4
อนิเมชั่นยอดเยี่ยมจากแคว้นบาเด็น เวือร์ทเท็มแบร์ก

(Best of Stuttgart International Festival of Animated Film 2009

BW-Reel – Best of Animation Baden-Württemberg)

โปรแกรม BW-Reel ประกอบไปด้วยภาพยนตร์อนิเมชั่นจากแคว้นบาเด็น-เวือร์ทเท็มแบร์กซึ่งผลิตขึ้น ในปีที่ผ่านมา โปรแกรมนี้จะแสดงให้เห็นผลงานอนิเมชันที่หลากหลาย มีทั้งผลงานของนักศึกษาจาก สถาบันภาพยนตร์บาเด็น-เวือร์ทเท็มแบร์กในเมืองลูทวิคเบิร์ก และ มหาวิทยาลัยมีเดียในเมืองชตุทท์การ์ท
รวมถึงผลงานของสตูดิโอภาพยนตร์แห่งแคว้นชตุทท์การ์ทที่มีชื่อเสียงระดับนานา ชาติ อย่าง สตูดิโอ ซอย (Studio Soi) และ สตูดิโอ ฟิลม์ บิลเดอร์ (Studio Film Bilder)

ฉาย วันพฤหัสบดีที่ 21 ม.ค. รอบ 17.00 น. และ วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค. รอบ 15.00 น.

โปรแกรมที่ 5

ภาพยนตร์สั้นในกรุงเบอร์ลิน

(Short in Berlin)

กรุงเบอร์ลินเป็นเมืองที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยียนเสมอ เสียงเพลงชี้ชวนให้คนมาเที่ยวเบอร์ลิน

“Come, come to the city, the Lindentrees are so green today. Let’s go to the city, the city.”
ได้กลายเป็นมนต์สะกด นักท่องเที่ยวให้มาที่นี้ ไม่ว่าจะนักท่องเที่ยวรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ คนเยอรมันเองหรือชาวต่างชาติ เบอร์ลินเคยเป็นและยังคงเป็นบ้านของศิลปินที่ได้ทำการสร้างสรรค์งานที่ เกี่ยวข้องกับเมืองนี้อย่างหลากหลาย ในปี 2009 ที่ผ่านมา เป็นปีครบรอบ 20 ปีของการพังทลายกำแพงเบอร์ลิน โปรแกรมนี้รวบรวมภาพยนตร์สั้นทั้งเก่าใหม่ ร่วมสำรวจเบอร์ลินในทุกซอกมุมทั้งก่อนและหลังการล่มสลายของกำแพง

ฉาย วันศุกร์ที่ 22 รอบ 17.00 น. และ วันเสาร์ที่ 23 รอบ 13.00 น. (หลังรอบนี้จะมีการพูดคุยกับ Heinz Hermanns ผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์สั้น Interfilm ในเบอร์ลิน ซึ่งถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์สั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศเยอรมนี)

โปรแกรมที่ 6 ภาพยนตร์สั้นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาล Interfilm ครั้งที่ 25

(Best of interfilm 25 – international shorts)

จากหนังสั้นความยาวไม่เกิน 30 นาที กว่า 6000 เรื่่องที่ส่งเข้ามาที่งาน Interfilm Berlin ในปี 2009

นี่คือผลงานชิ้นยอดเยี่ยมจากสายประกวดนานาชาติ โปรแกรมนี้สนุกมากๆ!

ฉาย วันพฤหัสบดีที่ 21 ม.ค. รอบ 18.30 น. และ วันเสาร์ที่ 23 ม.ค. รอบ 18.00 น.

โปรแกรมที่ 7
หลอกเด็ก (
Tricks for Kids – animated shorts without dialogues for children)

ด้วย เทคนิคอนิเมชั่นที่หลากหลายเพื่อการสรรค์สร้างเรื่องราวของการผจญภัยต่างๆ ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เช่น เรื่องราวของครอบครัวไก่ที่สูญเสียลูก, ไข่ไก่ช่วยเพื่อนของเขาได้, สุนัขกระดาษมีปัญหากับหางของมัน, กบตกหลุมรัก, ดอกไม้จิ๋วต่อสู้กับสัตว์ประหลาด, นกกระสาขอดวลนกน้อยและอื่นๆอีกมากมาย

โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับจูงลูกจูงหลาน และ ผู้ใหญ่หัวใจเด็ก

ฉายวันเสาร์ที่ 23 ม.ค. เวลา 11.00 น. และ วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค. เวลา 13.00 น.

โปรแกรมที่ 8
Cycling the Frame VS The Invisible Frame

ภาพยนตร์สารคดีสุดฮิปโดย Cynthia Beatt
และ Tilda Swinton

ใน ปี ค.ศ. 1988 หนึ่งปีก่อนการทำลายกำแพงเบอร์ลิน ผู้กำกับหนังชาวอังกฤษชื่อซินเธีย บีธร่วมกับนักแสดงหญิงสุดติสท์ทิลดา สวินตัน ปั่นจักรยานร่วมกันรอบกำแพงเบอร์ลินในสารคดีเรื่อง Cycling the Frame ภาพที่ปรากฎตรงหน้า เสียงบรรยายความรู้สึกข้างในของสวินตัน และเสียงดนตรีประกอบโดยไซมอน ฟิชเชอร์ ได้กลายเป็นภาพอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกถึงการถูกจำกัดและถูกแบ่งแยกออกไป

21 ปีต่อมา เมื่อไม่มีสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันและสหภาพโซเวียตอีกต่อไป
ทิลดา สวินตันได้รับรางวัลออสการ์ เยอรมนีได้รวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวและให้กำเนิดทายาทรุ่นแรกที่เกิดมาไม่เคย เห็นกำแพงเบอร์ลินมาก่อน และเป็นอีกครั้งที่ผู้หญิงสองคนได้ปั่นจักรยานทั้งสองฝั่งของอดีตกำแพง เบอร์ลิน สถานที่เดิมๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป และไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะแค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้น เส้นทางการเดินทางครั้งนี้จึงกลายเป็นเรื่องราวของ
The Invisible Frame

นี่คือภาพยนตร์สารคดีไอเดียบรรเจิดที่คุณควรลิ้มลอง ฉาย วันเสาร์ที่ 23 ม.ค. เวลา 16.00 น. รอบเดียวเท่านั้น!

สรุปตารางโปรแกรม (Showcase schedule)

วันพุธที่ 20 มกราคม
(Wednesday 20th January)

18.00 น.
โปรแกรมที่ 1 ภาพยนตร์อนิเมชันเยอรมันร่วมสมัย จากปี 1989 จนถึงปัจจุบัน (Contemporaries – German Animated Film from 1989 until now)

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม (Thursday 21st January)\

17.00 น. โปรแกรมที่ 4
อนิเมชั่นยอดเยี่ยมจากแคว้นบาเด็น เวือร์ทเท็มแบร์ก
(Best of Stuttgart International Festival of Animated Film 2009 BW-Reel – Best of Animation Baden-Württemberg)

18.30 น.
โปรแกรมที่ 6 ภาพยนตร์สั้นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาล Interfilm ครั้งที่ 25 (Best of interfilm 25 – international shorts)

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม (Friday 22nd January)

17.00 น. โปรแกรมที่ 5

ภาพยนตร์สั้นในกรุงเบอร์ลิน (Short in Berlin)

18.30 น. โปรแกรมที่ 2 ระหว่างศิลปะแห่งรัฐ กับ ศิลปะใต้ดิน ภาพยนตร์อนิเมชันในเยอรมนีตะวันออก (Between State Art and Underground – Animated Film in the GDR)

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม (Saturday 23rd January)

11.00 น. โปรแกรมที่ 7 หลอกเด็ก (Tricks for Kids – animated shorts without dialogues for children)

13.00 น. โปรแกรมที่ 5 ภาพยนตร์สั้นในกรุงเบอร์ลิน (Short in Berlin)(หลัง รอบนี้จะมีการพูดคุยกับ Heinz Hermanns ผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์สั้น Interfilm ในเบอร์ลิน ซึ่งถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์สั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศเยอรมนี)


16.00 น.
โปรแกรมที่ 8
Cycling the Frame VS The Invisible Frame

18.00 น. โปรแกรมที่ 6 ภาพยนตร์สั้นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาล Interfilm ครั้งที่ 25 (Best of interfilm 25 – international shorts)

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม (Sunday 24th January)

11.00 น. โปรแกรมที่ 3
อนิเมชั่นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาลอนิเมชันชตุทท์การ์ท 2009
(Best of Stuttgart International Festival of Animated Film (ITFS) – International Selection)

13.00 น.
โปรแกรมที่ 7 หลอกเด็ก (Tricks for Kids – animated shorts without dialogues for children)

15.00 น.
โปรแกรมที่ 2 ระหว่างศิลปะแห่งรัฐ กับ ศิลปะใต้ดิน ภาพยนตร์อนิเมชันในเยอรมนีตะวันออก (Between State Art and Underground – Animated Film in the GDR)

17.00 น. โปรแกรมที่ 3
อนิเมชั่นนานาชาติยอดเยี่ยมจากเทศกาลอนิเมชันชตุทท์การ์ท 2009
(Best of Stuttgart International Festival of Animated Film (ITFS) – International Selection)

หยุดวันจันทร์ที่ 25 มกราคม (No program on Monday 25th January)

วันอังคารที่ 26 มกราคม (Tuesday 26th January)

18.00 น.
โปรแกรมที่ 2 ระหว่างศิลปะแห่งรัฐ กับ ศิลปะใต้ดิน ภาพยนตร์อนิเมชันในเยอรมนีตะวันออก (Between State Art and Underground – Animated Film in the GDR)
(หลังโปรแกรมรอบนี้จบ จะมีการร่วมพูดคุยกับ Ulrich Wegenast ผู้อำนวยการด้านศิลปะของเทศกาลภาพยนตร์อนิเมชันสตุทท์การ์ท)

วันพุธที่ 27 มกราคม (Wednesday 27th January)

18.00 น.
โปรแกรมที่ 1 ภาพยนตร์อนิเมชันเยอรมันร่วมสมัย จากปี 1989 จนถึงปัจจุบัน (Contemporaries – German Animated Film from 1989 until now) (หลังโปรแกรมรอบนี้จบ จะมีการร่วมพูดคุยกับ Ulrich Wegenast ผู้อำนวยการด้านศิลปะของเทศกาลภาพยนตร์อนิเมชันสตุทท์การ์ท)